วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ทริปคนเดียวหลังโควิด แบบสายมู อุดร-หนองคาย

 


        สวัสดีครับทุกท่าน ห่างหายไปนานเลยทีเดียวที่ผมไม่ได้เขียน Blog ใหม่ๆ เลย เนื่องจากสถานการณ์ที่ทุกท่านก็ทราบดี โควิด 2019 นั้นเอง หลักจากรัฐประกาศคลายมาตรการต่างๆ ลง และขอความร่วมมือให้เราเหล่าประชาออกไปเที่ยวเพื่อฟื้นเศรษฐกิจกัน ครั้งนี้เลยถือโอกาสหาสิ่งเป็นมงคลให้ชีวิตหลังเจอมรสุมเสียหน่อย ทริปแรกนี้เลยเป็นทริปสายมู (มูเตลู) ไหนๆ ตั๋วเครื่องบินผมก็ถูกเลื่อนจากโควิดมาเรื่อยๆ ก็เลื่อนให้มันตรงกับช่วงนี้เลยดีกว่า (แอร์เอเชียให้เลื่อนได้ไม่จำกัดครั้ง จนถึงวันที่ 31 ต.ค. 63) จะคืนตั๋วก็เสียดายได้มาในราคาถูกมาก 555+

ผมไม่ค่อยชอบไฟท์เช้ามาก เดี๋ยวตื่นไม่ไหว เลยชอบเอาเที่ยงๆ มาหาอะไรกินที่สนามบินก่อนออกเดินทาง ครั้งนี้ก็ฝากท้องไว้กับ BON CHON ครับ


ถึงจะมีโปรฯ แต่ราคาก็ยังแรงเสมอต้นเสมอปลาย เอาน่ะ อร่อยก็ยอมๆ ไป ชุดนี้ 300+ ครับ


หลังจากจัดการจนเรียบแล้วผมก็มารอขึ้นเครื่องที่ GATE 52 สนามบินช่วงโควิดนี่ไม่ชินจริงๆ ครับ 555+


ไม่นานก็เรียกขึ้นเครื่องครับ ลำนี้นี่เองงงง


ไฟท์นี้พนักงานต้อนรับบนเครื่องเล่นมุกต่างๆ เพื่อให้ผู้โดยสารไม่เบื่อ เพราะมีขั้นตอนต่างๆ เพิ่มมาเพียบ ขอชื่นชนเลยครับ ไม่นานก็มาถึงสนามบินอุดรธานีครับ


เนื่องจากใบขับขี่ผมหมดอายุ และได้จองคิวต่ออายุไว้ที่ห้างเซ็ลทรัลอุดรธานี ผมต้องไปทำใบขับขี่ก่อนถึงกลับมารับรถที่เช่าไว้ได้ครับ 


จึงต้องอาศัยรถเจ้าถิ่นในการเดินทางเข้าเมืองครับ ลุงแกซิ่งใช้ได้เลยครับ 100 บาท


พอไปถึงเจ้าหน้าที่แจ้งว่าขอไปพักกินข้าวเที่ยงก่อน (ตอนนี้บ่าย 2) แล้วนัดให้เข้ามาใหม่บ่าย 3 ผมเลยถือโอกาสไปเช็คอินที่โรงแรมก่อน ครั้งนี้ผมเลือกโรงแรมเซ็นทราอุดรธานีครับ เพราะใกล้ดี ท่านไหนสนใจสามารถคลิกที่รูปด้านล่างเพื่อจองได้เลยครับ


ที่นอนนุ่มสบายครับ หลับสบายเลย


เช็คอินเรียบร้อยก็ต้องเดินกลับไปที่เซ็นทรัลเพื่อไปรอทำใบขับขี่ต่อครับ คนเริ่มมารอกันเยอะแล้ว


และแล้วก็เรียบร้อยครับ รวดเร็วมากครับ ชอบเลยแบบนี้


จากนั้นก็หาอะไรกินที่เซ็นทรัลแล้วก็เดินกลับโรงแรมเพื่อพักเอาแรงครับ

---- จบวันที่ 1 ----

+++ เริ่มวันที่ 2 +++

ตื่นเช้าไปรับรถเช่าที่สนามบิน รถตุ๊กๆ ที่หน้าเซ็นทรัลไปสนามบินแพงกว่าตอนนั่งมาแฮะ 120 บาทเลย และแล้วผมก็ได้รถมาแล้วครับ จะได้ไปไหนมาไหนสะดวกซักที สีขาวสวยงาม ตกวันละ 399 บาทเอง (รวมประกัน) 


ได้รถมาแล้วออกเดินทางได้ จุดแรกที่จะต้องไปคือวัดป่าฐิตวนาราม ตามแผนที่เลยครับ ไกลเอาเรื่อง


ได้ครึ่งทาง เลยเลี้ยงเมืองหนองคาย ขอแวะซื้อกาแฟซักหน่อย ดีที่มี ปตท. อยู่แถวนี้


จากนั้นก็เดินทางต่อครับ และแล้วผมก็มาถึงเสียที


วัดนี้อาจจะไม่ดังเท่าไหร่นะครับ แต่สาเหตุที่ผมมานั้น ผมบังเอิญถูกหวยกับคนที่เขามาขอหวยที่นี้หลายงวดติดเลย เลยอยากมาดูด้วยตาตัวเองซักครั้ง


มาช่วงที่ห่างจากวันหวยออกคนเลยน้อยครับ ภายในวัดมีศาลาที่มีต้นตะเคียนขนาดใหญ่ถูกเชิญมาวางอยู่ ทราบประวัติว่าถูกนำขึ้นมาจากน้ำโดยการมาเข้าฝันให้คนไปเอาขึ้นมาครับ ชาวบ้านแถวนั้นเลยมาขอโชคลาภแล้วก็ถูกกันบ่อยจนมีคนมากราบไหว้เพียบเช่นนี้


ทางนู่นกำลังทำพิธีอยู่เลยครับ


หากต้องการทำบุญ ถวายสังฆทาน ก็เชิญขึ้นศาลาได้ครับ เจ้าอาวาสท่านอยู่ด้านบนครับ


หลังจากนั้นผมก็เดินทางไปสถานที่ถัดไปครับ ศาลากู่แก้ว


ผมมีความทรงจำวัยเด็กกับที่นี้ครับ ตอนผมอายุ 2-5 ขวบ ผมอาศัยอยู่ที่หนองคาย จุดที่แม่พามาบ่อยๆ คือที่นี้ครับ เลยมารำลึกความหลังเสียหน่อย


จอดรถแล้วก็เดินเข้าไปเลยครับ คนไทยจ่ายเพียง 20 บาทเองครับ ถูกทีเดียว


เข้ามาก็จะพบกับรูปปั้นมากมายครับ ตามพุทธสุภาษิต


ก็เดินชมไปเรื่อยๆ ครับ ดูบรรยากาศไป นึกถึงรูปถ่ายเก่าๆ ที่แม่เคยให้เราดูตอนเป็นเด็กๆ


พระนาคปรก เป็นรูปปั้นที่สูงที่สุดของที่นี้แล้วครับ


พื้นที่กว้างขวางครับ เดินไปได้เรื่อยๆ


แต่ละรูปปั้นจะมีความหมายและที่มาต่างๆ กันไปครับ


บ้างก็มาจากสุภาษิตอิสาน ลองอ่านกันดูได้ครับ


จุดนี้ก็เช่นกันครับ แฝงความหมายของสัจธรรมเอาไว้


ก่อนกลับ เก็บอีก 1 ภาพครับ มีความผูกพันแบบแปลกๆ อธิบายไม่ถูก 555+


จากนั้นก็ไปยังสถานที่ถัดไป วัดหลวงพ่อพระใสครับ อยู่ไม่ไกล


หาที่จอดรถภายในวัดได้เลยครับ ผมได้ที่จอดหน้าอุโบสถเลยครับ


จากนั้นก็เดินขึ้นไปไหว้องค์หลวงพ่อด้านบนได้ครับ


แต่ที่นี้ท่านไม่อนุญาตให้จุดธูปเทียนภายในอุโบสถ ต้องมาจุดที่นี้ครับ


แล้วค่อยขึ้นไปกราบองค์จริงด้านใน “หลวงพ่อพระใส” พระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก ประวัติการสร้าง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า เป็นพระพุทธรูปหล่อในสมัยล้านช้างครับ เป็นที่เคารพสักการะของทั้งชาวไทยอิสานและชาวลาวเลยครับ


จากนั้นก็ไปเช็คอินที่โรงแรมก่อนครับ ก่อนที่จะเดินชมเมืองตอนเย็น


ที่หนองคายนี่ผมพยายามหาโรงแรมที่ได้คะแนนดีเยี่ยมจาก Agoda สุดท้ายเลยจบที่โรงแรมไวท์อินน์นี้ครับ ท่านไหนสนใจก็คลิกที่รูปด้านล่างได้เลยครับ


เตียงก็นอนสบายครับ 


จากนั้นก็ลงไปเดินเล่นครับ หน้าโรงแรมเป็นบาร์ ชาวต่างชาตินิยมมานั่งครับ ตกดึกคนเยอะมาก นี่ขนาดช่วงโควิดนะเนี่ยะ แต่ไม่ใช่แนวผมซักเท่าไหร่ 555+


เดินตามช่องนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะถึงริมโขงครับ ไกลเอาเรื่อง 555+


เดินเรื่อยๆ มาจนถึงครับ เหงื่อโชก ถ้าขับรถมาก็จบ 555+


จุดนี้มีรูปปั้นพยานาคพ้นน้ำเป็นจุด Land mark ครับ 


มีน้องมารำด้วย ดูเพลินๆ ดีครับ


ผมก็เดินเล่นที่นี้ ชมแม่น้ำโขง มองดูฝั่งลาวไปเรื่อยจนตะวันกำลังจะตก ก็สวยไปอีกแบบครับ


บรรยากาศยามเย็นของที่นี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ


อีกซักรูปก่อนเดินกลับ 555+


ก่อนถึงโรงแรมก็มีพวกร้านอาหารริมถนนเยอะแยะทีเดียวครับ กำลังหิวเลย


สุดท้ายเลยมาจบที่ร้านก๊วยเตี๋ยวไก่มะระเจ้านี้ครับ 


หน้าตาก็ใช้ได้ รสชาติก็ OK ครับ


จากนั้นก็เดินกลับโรงแรม อาบน้ำ เตรียมตัวเข้านอน พรุ่งนี้ต้องไปอีก 2 วัด แต่ไกลอีกเช่นเคย 555+

---- จบวันที่ 2 ----

++++ เริ่มวันที่ 3 ++++

วันนี้ต้องรีบตื่น อาบน้ำแต่งตัว ออกจากโรงแรมก่อน 9 โมงเช้าครับ เพราะสถานที่จะไปค่อยข้างไกล และต้องกลับไปถึงสนามบินอุดรธานีให้ทันช่วงเย็น ก็ยิงยาวๆ ไปตามแผนที่เลยครับ วัดผาตากเสื้อ


เป็นวัดที่อยู่บนเขาครับ ร่มรื่นมาก วันนี้วันจันทร์คนเลยไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ครับ


เดินขึ้นไปไหว้พระก่อนแล้วกันครับ


องค์พระประธานครับ ที่นี้ก็ไม่อนุญาตให้จุดธูปเทียนภายในเช่นเดิมครับ


เดินลงไปด้านล่างทางทิศเหนือจะมีศาลาอยู่ ด้านในประดิษฐานพระนอนอยู่ภายในครับ


เดินออกไปซักหน่อยจะเป็นจุดไฮไลท์ของที่นีเลยครับ จุดชมวิวแม่น้ำโขงนั้นเอง


มีจุดชมวิวที่เป็นกระจกยื่นออกไปด้วยครับ ต้องเปลี่ยนรองเท่าและไปได้ไม่เกิน 20 คนครับ


นี่คือวิวที่ได้ครับแม่น้ำโขงไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขงที่อ้อมเกาะมา สวยงาม อากาศดีด้วยครับ


จากนั้นก็ไปจุดถัดไปครับ จุดชมวิวพันโขดแสนใคร้ อยากจะบอกว่าวิวข้างทางนี้สุดยอดเลยครับ ผมชอบมากๆ ขับรถเลียบแม่น้ำโขงไปเรื่อยๆ แบบนี้


แต่ก็ขับเลยไปนิดนึงเลยได้จอดชมวิวตรงจุดนี้แทน


แต่เนื่องจากช่วงนี้กน้าฝนน้ำขึ้นสูง จึงไม่ค่อยเห็นโขดซักเท่าไหร่


ไม่สวยเหมือนในรูปเลยแฮะ 555+


ผมเลยไปหารูปตอนช่วงหน้าแล้ง (น้ำลด) มาให้ชมครับ ที่มาตามเครดิตเลยครับ


จากนั้นก็ไปยังจุดไฮไลท์ถัดไปครับ วัดป่าภูก้อน อยู่ไม่ไกลครับตามแผนที่เลย


แต่ฝนตกครับ 555+ ซวยแว้ววววว


ไม่สามารถถ่ายรูปด้านนอกออกมาให้สวยได้ครับ ผมเลยไปขอหยิบยืมมา ตามเครดิตในภาพเลยครับ


สวยงามมากๆ เลยครับ


ประตูยังขนาดนี้เลยครับ


อันนี้เป็นภาพด้านในครับ คนอย่างเยอะเลยครับ


พระพักตร์หมดจดมากๆ ครับ


อ้อ ผมลืมบอกครับ ด้านบนจะมีรถสองแถวรับส่งไปยังจุดต่างๆ ภายในวัดนะครับ จุดนี้ก็เป็นอีกจุดนึงครับ


จากนั้นผมก็ต้องเร่งขับรถยิงยาวกลับอุดร เพื่อนำรถไปคืนและรอขึ้นเครื่องกลับ กทม. ไกลเอาเรื่อง 555+


แต่ก็มาถึงก่อน 18:00 น. ครับ คืนรถเสร็จก็นั่งรอเรียกขึ้นเครื่องยาวๆ ไป นั่งดูเครื่องบินขึ้น-ลง เพลินๆ ไป


และแล้ว ก็ได้เวลาเรียกขึ้นเครื่องซักทีครับ


และแล้วก็กลับมาถึง กทม. เสียที ช่วงโควิดเช่นนี้ ทางพนักงานตอนรับจะให้ลงเครื่องทีละ 3 แถวครับ ที่เหลือนั่งรอก่อน


เดินกลับไปหาแท็กซี่กลับคอนโด โดยสวัสดิ์ภาพ


******* จบทริป ******

                            ทริปนี้หมดค่าใช้จ่ายไปประมาณ 4,500 บา่ทเองครับ แบ่งคร่าวๆ เป็น 
                                1. ค่าตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชีย (ไป-กลับ) ช่วงโปรฯ  ราคา 225 บาท
                                2. ค่าโรงแรมที่พัก 2 คืน (เซ็นทรา 790 บาท, ไวท์อินน์ 500 บาท) รวม 1,290 บาท
                                3. ค่าเช่ารถ 2 วัน วันละ 399 บาท รวม 798 บาท
                                4. ค่าน้ำมัน 1,000 บาท
                                5. ค่าอาหารและเครื่องดื่ม รวมประมาณ 1,200 บาท 

**********

ทริปนี้เป็นทริปเฉพาะทาง เน้นไปทางไหว้พระขอพร อาจจะแปลกๆ ไปบ้างสำหรับ Blog ของผม 555+ ท่านไหนชอบสายนี้ก็หวังว่าจะมีประโยชน์บ้างนะครับ แล้วพบกันใหม่ในรีวิว Blog หน้านะครับ ผมดองไว้เสียเยอะเลย 555+

1 ความคิดเห็น: