วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ไม่ได้หนาวเพียงลำพัง ที่ ปางอุ๋ง-ปาย จ.แม่ฮ่องสอน (ฤดูหนาว)

ครั้งนี้...ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่ 7 แล้วที่อยากแนะนำครับ ซึ่งคราวนี้ไม่ได้ออกไปไหนไกลครับ อยู่ในประเทศไทยนี่เอง และก็เคยไปที่นี้คนเดียวมาแล้วด้วย ในการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่ 3 "หลบฝนคนเดียวที่ปาย" นั่นเองครับ แต่ครั้งนี้...แตกต่างออกไปครับ นั่นคือ ครั้งนี้ผมไปในช่วงหน้าหนาว ซึ่งถือเป็นช่วง High Season ของที่นี้เลย และที่สำคัญอีกอย่าง คือ ครั้งนี้ผมก็ไม่ได้ไปคนเดียว และก็ไม่ใช่ไปแค่ 2-3 คนครับ แต่ไปกันเกือบ 10 คนเลยครับ และยิ่งไปกว่านั้นผมเป็นคนจัดทริปนี้ขึ้นมาเองอีกด้วย โดยสมาชิกส่วนใหญ่เป็นเพื่อนๆ น้องๆ ในที่ทำงานของผมเองครับ วัตถุประสงค์หลักๆ เลยคือไปคลายเครียดจากการทำงานนั่นเอง จะเป็นยังไงมาลองติดตามกันดูครับ 555+



เนื่องจาก...เกิดความตึงเครียดต่างๆ มากมาย ทั้งจากการทำงานเองหรือจากการใช้ชีวิตของคนในที่ทำงาน เลยรู้สึกบรรยากาศไม่ค่อยน่าภิรมย์เท่าไหร่ จึงได้พูดคุยและตัดสินใจจะไปผักผ่อน คลายเครียดกัน ผมจึงอาสารับหน้าที่เป็นคนจัดทริปนี้ขึ้น โดยได้เตรียมการก่อนเดินทางจริง 1 เดือน (พ.ย.) จึงมีเวลารวบรวมข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ค่าใช้จ่าย (เน้นประหยัด 555+) วันและเวลาที่เหมาะสม เมื่อตกผลึกแล้วจึงเกิดการเดินทางนี้ขึ้น โดยมีชื่อว่า "ทริปเที่ยวเหนือสุดหรรษา..." เส้นทาง ปางอุ๋ง - ปาย (จ.แม่ฮ่องสอน)  - ห้วยน้ำดัง (จ.เชียงใหม่) ในช่วงวันศุกร์ที่ 21 ถึง อังคารที่ 25 ธันวาคม โดยจะมีค่าใช้จ่ายต่อคนอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท 

ก่อนเดินทาง... 1 วัน ผมได้ทำไฟล์เอกสารหรือจริงๆ มันคือ "คู่มือในการเดินทางครั้งนี้" ให้ทุกคนพกติดตัวไว้อ่านระหว่างรอหรือเวลาเบื่อๆ แต่คิดไปแล้วจริงๆ มันมีประโยชน์นะ ดังนั้น..ผมจึงบังคับให้ทุกคนอ่านซะเลย 55+ โดยคู่มือนี้มีทั้งหมด 12 หน้า และผมก็เลือกใช้ภาษาได้วิบัติที่สุดในชีวิตแล้ว พยายามไม่ให้ดูเป็นทางการ เหมือนตอนทำงาน 555+ แต่ถ้าติดไปใช้ในการทำงานจริงขึ้นมานี่ก็บรรลัยของแท้เลยล่ะ หึหึ ว่าแล้วงั้นเราก็ไปลองอ่านดูกันดีกว่าครับ ตามพวกรูปข้างล่างนี้เลย >-<

 (อ่านไม่ออก คลิกที่รูปนะครับ มันจะขยายเป็นขนาดจริง)











"จบสำหรับคู่มือการเดินทางของผม"
น้องๆ ในทีมก็แอบแปลกใจว่าทำไมผมใช้ภาษาได้วิบัติระดับนี้ (ถือว่าเป็นคำชม 555+)
******

------------------------------------------------------------------------------------------------

วันที่ 1 (คืนวันศุกร์ต่อวันเสาร์)

แล้วก็มาถึง... วันที่ต้องเดินทางจริง เป็นวันศุกร์ น้องๆ หลายคนยังอยู่ต่างจังหวัด (ไปสนาม) นั่นนนนนไง... ความระทึกเริ่มเกิดขึ้น เพราะวันศุกร์ หมอชิตใหม่ (ขนส่งสายเหนือ-อิสาน) รถจะติดหนักมาก ต้องโทรเช็คกันเป็นระยะ ความล่มแรกก็บังเกิด เมื่อน้องฝึกงานสมาชิก 1 ใน 10 คน ติดทำเอกสารจบ ส่งอาจารย์ไม่ทันเลยไม่สามารถไปด้วยได้แล้ว เรียบร้อยไปแล้ว 1 ชีวิต 555+ ลนสิครับ ตกเย็นต้องโทรตามทุกคนกันเลยทีเดียว เมื่อเดินทางไปหมอชิต รถก็ติดจริง ดังว่า หนึบเลยด้วย  T_T


และแล้วผมก็เดินทางมาถึงหมอชิตในเวลา 20:30 น. (รถออก 21:40 น.) มาถึงเป็นคนที่ 7 (รอดไป ถ้าถึงคนสุดท้ายคงโดนประนาม >_< )


ซักพักน้องเอ็ม (ตากล้องของเรา) ก็มา แต่ยังเหลือสมาชิกอีก 1 ชีวิต ต้องนั่งรอกันต่อไป


ระหว่างนี้สมาชิกคนไหนจะไปทำธุระส่วนตัว ได้เต็มที่เลย แต่ต้องมารวมกันอีกครั้งก่อน 21:30 น.


และแล้วสมาชิกท่านสุดท้ายก็มาถึงพวกเราเป็นที่เรียบร้อย ท่านบอกว่าท่านแวะไปกินลาบอยู่ 555+ (ลุ้นกันพอหอมปากหอมคอ)


เมื่อถึงเวลา (21:40 น.) ชาวคณะเราก็เดินไปที่ชานชลาปล่อยรถ แต่ไม่เห็นรถเชียงใหม่เลย เราก็ยืนงงๆ กันไป สุดท้ายมีคนฉลาด เดินไปเจอป้ายแปะด้านหน้ารถ "กรุงเทพฯ-แพร่-สอง" ว่าเป็นรถไปเชียงใหม่รอบ 21:45 น. ก็ฮากันไป เอ้า !!! ขึ้นรถกันสิ รออะไร 555+


หลายท่านอาจเกิดคำถามว่าทำไมไม่จองนครชัยแอร์หรือสมบัติทัวร์ที่มีศูนย์บริการอยู่ด้านนอก ไม่ต้องฝ่ารถติดเข้าไปหมอชิต คือผมจองแล้วครับ แต่มันเต็มหมด 555+ ไม่เป็นไร 999 ของ บขส. ก็ดี ตรงเวลา (จำคำนี้ไว้ดีๆ 55+)

เมื่อขึ้นรถได้ ก็แยกย้ายกันนั่งตามที่ได้ตกลงกันไว้ เราจองไว้ 10 แต่มา 9 อีกที่เลยเป็นที่วางกระเป๋าไปโดยปริยาย 555+


เมื่อมาถึง... ถึงไหนไม่รู้ (555+) รถได้จอดแวะให้เข้าห้องน้ำ และกินอาหาร จัดข้าวต้มไปเลย 2 ถ้วย >_<


เวลาล่วงเลยไป แสงสว่างเริ่มสาดเข้าตา เช้าแล้วนั่นเอง เต๋า 1 ในสมาชิกตัวแสบที่ตื่นก่อนเลยได้เก็บภาพบรรยากาศ (สภาพของทุกคน) ไว้... หึหึ
แต่เอ้...ตามตารางเวลา รถคันนี้ต้องถึงขนส่งอาเขตก่อนเวลา 08:00 น. แต่ตอนนี้ 8 โมงแล้ว รถยังพึ่งถึงสี่แยกลำปาง อยู่เลย (เริ่มหนาวละสิ แววล่มมาอีกแล้ว 555+) 


และแล้ว... เราก็มาถึงขนส่งอาเขต เชียงใหม่ในเวลา 09:15 น. ผิดจากแผนเดิมไปชั่วโมงครึ่งเอ้งงง ลงรถเสร็จให้ทุกคนไปอาบน้ำ (ล้างหน้า แปลงฟัน) ที่ศูนย์บริการนครชัยแอร์ แล้วนั่งรอที่นั่น ส่วนผมและน้องเฉียน จะไปรับรถที่เช่าไว้ที่สนามบินเชียงใหม่ ไปโดยแท็กซี่เชียงใหม่ ราคาเหมาอยู่ที่ 150 บาทครับ 


จากขนส่งอาเขตไปสนามบิน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที รวมทำเอกสารรับรถต่างๆ แล้วก็กลับมาน่าจะ 1 ชั่วโมงพอดี นัดแนะสมาชิกให้เรียบร้อย


เมื่อไปถึงสนามบิน ก็รีบเข้าไปติดต่อรับรถเช่าที่เคาน์เตอร์ของ SIXT (พนักงานเห็นว่ามาด้วยกันเลยนึกว่ารับคันเดียว จึงทำให้แค่คันผม พอรู้ว่ารับคนละคัน ถึงขั้นร้องโอ้ยเลย เสียเวลารอไปอีก 555+ ใครจะตามรอย ก็แจ้งไปเลยนะครับว่า 2 คัน พวกผมเซ่อกันเอง >_< )


ทำเอกสารเสร็จ ก็ถึงเวลาเดินไปรับรถ เราได้ ฮอนด้า ซีวิค ทั้ง 2 คันเลยครับ (ได้ในราคาโปรโมชั่น วันละ 1,300฿ รวมประกันชั้น 1

คันของเฉียนสีขาว

คันของผมสีบอร์นเงิน

จากนั้นก็ขับไปรับทุกคนที่ศูนย์บริการนครชัยแอร์ ขนส่งอาเขต สมาชิกผู้ชายได้อาบน้ำกันหมด ผู้หญิงล้างหน้าพอ 555+ ทั้งนี้ขอแจ้งให้ทุกท่านทราบโดยทั่วกันว่า "เราจะข้ามข้าวซอยเสมอใจไป" เนื่องด้วยเราเลยกำหนดการเดิมมา 2 ชั่วโมงแล้ว เดี๋ยวจะไปที่ทำการอุทยานถ้ำปลาฯ ไม่ทันเวลารับเอกสาร ทั้งนี้จะไปแวะกินระหว่างเส้นทาง โดยจากการใช้ GIS ค้นหาร้านของน้องเต๋านั้น จึงได้ร้านใหม่คือ "ร้านข้าวซอยแม่นาย" อยู่ตรงสี่แยกแม่แตง (ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นปายพอดี) ใช้เวลาเดินทาง 45 นาที 


ถึงร้านข้าวซอยแม่นาย ประมาณ 11:15 น. ให้เวลากิน 30 นาที (เนื่องจากเราต้องไปถึง ที่ทำการอุทยานถ้ำปลาฯ ก่อน 15:00 น.)


เรารีบสั่ง รีบกิน !!! (ข้าวซอยน่องไก่ อร่อยดีครับ อยากให้แวะมาลองกัน) แต่ไอ้ขวด Singha ข้างๆ คืออะไร เรารีบกันอยู่ 555+


เมื่อกินข้าวเสร็จ สมาชิกท่านไหนที่มั่นใจว่าตัวเองจะเมารถ ควรรีบกินยาไว้ตั้งแต่ตอนนี้ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน 555+ จากนั้นก็ออกเดินทาง (ขณะนี้เป็นเวลา 11:45 น.) ต้องไปให้ถึงปาย ก่อน 14:00 น. เราจะไปแวะห้องเข้าน้ำที่นั่นครับ


ดูเหมือนรถคันนี้จะแข็งแกร่ง ไม่มีใครกินยาแก้เมารถเลย (กินแล้วจะง่วง) ตาใสกันทุกคน (แล้วจะรู้สึก 555+)


เนื่องจากต้องทำเวลา ผมเลยทั้งสาด ทั้งเท ทั้งปาดโค้ง จนสมาชิกของเราไม่ไหว แวะจอดเอาที่กินไปออกที่ ปั้ม ปตท.ปาย นี่เอง 555+ (ขณะนี้เวลา 14:00 น.


แล้วก็รีบเหยียบต่อ แต่ดูเวลาแล้ว คันผมเหมือนจะไม่ทันแน่เลย เหลือเวลาแค่ชั่วโมงเดียวเอง คันเฉียนน่าจะทันหวุดหวิดเพราะไม่ได้แวะจอดปั้ม


และแล้วน้องเอิญ สมาชิกคนสวยของเราก็ไม่รอด ต้องลงไปเอาข้าวซอยออกอีกครั้งข้างทาง 555+


คิดว่าไม่น่าทันแน่... ทั้งคันผมและคันเฉียน เต๋า ซึ่งเป็นเลขาฯ ทริป เลยโทรไปสอบถามเจ้าหน้าที่อุทยานฯ อีกครั้ง ได้ความว่า เขาจะอยู่รอไม่เกิน 16:00 น. ยังไงต้องถึงนะคะ ได้ยินดังนั้นโล่งใจเลย อีก 1 ชั่วโมง ทันแน่นอน สุดท้ายเราก็มาถึงในเวลา 15:30 น.


ได้เอกสารจากที่นี้แล้ว เราจะต้องเอาไปยื่นที่หน่วยฯ โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) ของอุทยานต่อ เพื่อใช้ในการรับเต็นท์กับเครื่องนอนที่ได้เช่าไว้ ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณ 45 นาที


ทางเข้าปางอุ๋ง แคบและชันมาก ควรขับขี่อย่างมีสติและระมัดระวัง ก่อนจะถึงหมู่บ้านรวมไทย (ปางอุ๋ง) จะเจอต้นไม้ปกคลุมถนนสองข้างทางแบบนี้ สวยงาม ร่มรื่นดีครับ


และแล้ว... พวกเราก็มาถึงกันเสียที (ขณะนี้เป็นเวลา 16:30 น.)


ทำเรื่องรับเต็นท์และเครื่องนอนให้เรียบร้อย (ทางเจ้าหน้าที่ได้กางไว้ให้แล้ว)


เก็บของเข้าที่ เต็นท์ใครเต็นท์มันให้เรียบร้อย


เต็นท์เราอยู่ไม่ไกลทะเลสาบ (อ่างเก็บน้ำ) ตกดึกอย่าละเมอลงไปเล่นน้ำหล่ะ แข็งตายไม่รู้ด้วย 555+


มาดูแผนที่กันหน่อย ว่าเราจะไปไหนบ้างวันนี้ (ตอนนี้เราอยู่ที่จุด เต็นท์) จากนี้เราจะเดินไปสันเขื่อนก่อนแล้วเดินต่อไปกินหมูกระทะในหมู่บ้านรวมไทยกัน


จากจุดกางเต็นท์ เดินมาเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาที ก็มาถึง "สันเขื่อน" ก่อนจะไปถึงก็ต้องข้าม Spillway ไปก่อน ไม่ต้องเดินลุยน้ำนะครับ มีสะพานแขวนสำหรับข้าม ก่อนข้ามก็ขอ 1 ภาพก่อน 555+ ตามรูปด้านล่างเลยครับ


น้องเอ็ม (ช่างภาพประจำทริป) พร้อม


เอ้าสมาชิก 3 4....  แชะ !!!


ถ่ายรูปตามวิชาชีพ หน่อย มุมภาพใส่รายงาน 555+


ช่างภาพเรา กำลังเปลี่ยนมุมกล้องแล้ววว


 ทีมงาน (สมาชิก) ก็ตามสิครับ รออะไร 555+




ด้วยความกังวลของน้องเต๋าถึงความรู้สึกของพี่อัท กลัวลุงเขาจะไม่มี "รูปหมู่" เต๋าเลยตัดต่อรูปพี่อัทเข้าไปร่วมอยู่ในเฟรม เพื่อให้ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน 9 ชีวิต >_< (บอกเลยยิ่งทำพี่ยิ่งสงสารหว่ะเต๋า 555+) 


อ้ออเห็นรูปข้างบนแล้วนึกขึ้นได้ ที่จริงการมาครั้งนี้พวกเรามี Theme ด้วยนะ เตรียมกันไว้ตั้งแต่ก่อนมาว่าจะเป็นแนว Earth Tone โดยได้ idea มาจากน้องๆ กลุ่มนี้ (ขอโทษทีนะครับจำที่มาของรูปน้องๆ ไม่ได้แล้ว >_< ) ไอ้ท่าจากรูปข้างบนก็มาจากน้องๆ นี่แหล่ะ 555+ ลองมาดูกันว่าระหว่างต้นฉบับกับของเลียนแบบอันไหนจะแนวกว่ากัน (ทำกันไปได้ไงพวกเรา แล้วเรามัน Earth กันตรงไหน มีท็อปคนเดียว 555+)


พอๆ ข้างบน เลิกเล่น 555+ แต่เอ้ เหมือนจะมีสมาชิกใหม่อยากเข้ากลุ่ม มาป้วนเปี้ยนซักพักแล้ว


โอเค จับเข้ากลุ่มซะเลย แชะ (อ่าว ปากหาย 555+)


ฟากฟ้ายามเย็น เห็นแสงรำไร อาทิตย์จะลับโลกไป...แล้ว (17:45 น.) ก่อน...พระจันทร์จะโผล่ขึ้นมา (พี่เทียรี่ก็มา เอาทั้งเพลงเลยไหม 555+) ก็ถึงเวลาเดินหาของกินกันเถอะพวกเรา เริ่มหิวแล้ว ต้องเดินไปหมู่บ้านรวมไทยตามแผนที่ จะมีของกินขายเพียบครับ

ถั่วเหลืองทอด จิ้มกับซอสมะเขือเทศ เป็นอะไรที่อร่อยมากครับ แนะนำเลย


น้องมะนาว เหรัญญิกทริป ขอลอง "ไก่ย่างชาวดอย" ก็มาครับ 555+


ทำประชามติกันอยู่นาน สุดท้ายแล้ว ตกลงมื้อนี้ชาวเราจะฝากท้องกันที่นี้ครับ  "หมูกระทะ"


จ้วงกันเข้าไป 9 คน หมดไป 4 ชุดๆ ละ 250 บาท ชิลล์ๆ ตกคนละร้อยนิดๆ 


ขากลับ แวะซื้อไม้และฟืนมา 3 ชุด (คิดว่าพอ) เอามาจุดไฟ เพื่อให้ความอุ่นหน้าเต็นท์


นั่งไปซักพัก ถึงรู้ว่าไม้และฟืนไม่พอ จะเดินไปซื้ออีกรอบก็ไกล เลยลองเดินไปหาเก็บไม้ เก็บฟืนรอบๆ มาต้มกา... (มาเป็นเพลงอีกแล้ว 55+) พอจะอยู่ได้อีกซักหน่อย


เพื่อประหยัดฟืน เราหาอย่างอื่นแก้หนาวดีกว่า รีเจนซี่ ปรั่นดีไทย กับโซจู คนละโบกเวียนไป เดี๋ยวร่างกายก็ร้อนวูบว๊าบขึ้นมาเอง 555+


ถึงเวลา 22:00 น. พอสมควรแก่เวลา ก็แยกย้ายเข้านอน (อยากจะบอกว่าหนาวมากๆ ถุงนอนยังเอาไม่อยู่เลยครับ 555+)

**** จบวันที่ 1 (วันเสาร์) ****

------------------------------------------------------------------------------------------------


วันที่ 2 (วันอาทิตย์)

เช้า... วันอาทิตย์ที่ 23 ธ.ค. (ประมาณ 05:00 น.) ปลุกทุกคนให้ตื่นนอน ไปล่างหน้า แปลงฟัน แต่งตัว เพื่อออกไปสัมผัสไฮไลท์ของที่นี้กัน ก็มุ่งหน้าเดินไปสันเขื่อน กว่าจะถึงก็เกือบจะหกโมงเช้า ได้เห็นพระจันทร์กำลังจะลับทิวสนทางทิศตะวันตก เพื่อให้อาทิตย์ขึ้นมาแทนทางทิศตะวันออกพอดี แสงจันทร์ที่สะท้อนกับน้ำเป็นภาพที่สวยมาก ถ่ายมายังไม่เท่าของจริงเลยครับ  



ไม่นานพระจันทร์ก็ลับไป ความสว่างเริ่มปรากฏบนท้องฟ้ามาแทนที่ แต่พื้นที่ด้านล่างยังมืดอยู่ครับ บรรยากาศตอนนี้ก็ให้อีกความรู้สึกนึงครับ อธิบายไม่ถูก


จากนั้นไม่นาน ก็เริ่มสว่างไปทั้งหมดแล้วครับ ไอน้ำที่ลอยอยู่ในอ่างเก็บน้ำเริ่มเห็นชัดขึ้น เริ่มมีคนล่องเรือไปชมบรรยากาศในอ่างเก็บน้ำกันบ้างแล้ว


อีกด้านฝั่งซ้ายของตัวอ่างเก็บน้ำครับ อากาศตรงจุดที่ผมยืนนี่ เย็นมากครับ ลมก็แรง พัดเอาความเย็นมาตีหน้าตลอด (ใครชอบอากาศเย็นๆ นี่คงฟิลล์ครับ)


ประมาณ 7:00 น. เริ่มมองเห็นแสงอาทิตย์สาดกระทบเนินเขาด้านหลังอ่างเก็บน้ำแล้วครับ




ช่วงนี้แสงที่นี่จะสวยเป็นพิเศษ เหมาะแก่การเก็บภาพครับ ทั้งในอ่างเก็บน้ำและบนพื้นดินเลย


ชาวคณะเราก็เตรียมตัวเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกกันได้แล้ว หามุมใครมุมมันเลย 55+


น้องเอิญ เพิ่งไปวิ่งเสร็จ มาทันถ่ายรูปพอดี 555+


ผู้อาวุโสในทริปของเราก็มาถึงแล้ว ถึงขั้นหอบถุงนอนมาด้วยเลยทีเดียว 555+


นี่พี่คิดจะถ่ายกับถุงนอนจริงๆ เหรอครับ 555+


ท่านเลยนั่งให้ถ่ายท่านี้แทน กราบคาราวะท่านอาจารย์ 555+


เมื่อคนเริ่มมากันเยอะ ชาวเราก็เปลี่ยนไปจุดอื่นบ้าง อยู่จนปากสั่นหมดแล้ว ก่อนไป ขอซัก 1 ภาพ 555+


มามุมมหาชนอีกจุด จุดนี้คนจะเยอะมาก ต้องรอจังหว่ะดีๆ แล้ววิ่งเข้าไปถ่าย 555+


ดูหน้าคนถ่าย ฟิลล์กว่าคนโดนถ่ายอีก อารมณ์ "คุณแม่" มาเต็ม >_<


เออ มุมนี้ ย้อนแสง สวยดีแฮะ ขอผมบ้าง เห้ยยย ดูดีเลยหว่ะ 555+


เอิ่ม... แล้วภาพข้างล่างนี้เขากำลังทำอะไรกัน 


อ้อออ มันคือภาพนี้นี่เอง มะนาวของเราดูสดใจสุดๆ พี่อัท (ช่างกล้องอาวุโส) ของเราก็ถ่ายเทพนะเนี่ยะ 


แต่แล้ว... พอสลับกันถ่าย ไหง เป็นท่านั้นหล่ะ (ผมไม่เอา Output นี้มาลงดีกว่าเนอะ 55+)


มาที่สองเพื่อนซี้ สาวสวย เต๋า-เอิญ กันบ้าง สดใส ใสๆ++


เราควรจะย้ายที่กันดีกว่า เพราะเรือที่ออกไปส่วนใหญ่ เริ่มจะหมดรอบและกำลังกลับเข้ามาแล้ว คนคงจะเยอะ


เดินมาซัก พักหันกลับไป เห้ยยยยย มุมนี้สวยอะ แสงดี เป็นการย้อนแสงที่กระทบกับหมอกแล้วดีเว้ออ


ลองหามุมดีๆ ถ่ายก่อนนะ น่าจะทำ Story ประกอบภาพถ่ายได้ มุมนี้น่าจะได้


ว่าแล้ว... ดีจริงด้วย คู่นั้นเดินไปแล้ว เอาคนของเราไปยืนดู ท๊อป ลองไปยืนเท่ห์ๆ ตรงนั้นซิ ท่าอะไรก็ได้ เฮ้ยยย..ออกมาดูดีหว่ะ


เฉียนกับมะนาวขอลองบ้าง ว่าแต่ทำไมยืนกันอย่างนี้ แต่..เห้ยยย อันนี้ก็ดีอะ ดูมีอะไรดี ชอบๆ 


จากนั้นก็ขึ้นไปบนสะพานไม้ไผ่สาน แล้วลองสาดกล้องกลับไปทางอ่างเก็บน้ำที่มีเรืออยู่เต็มไปหมด ภาพออกมาก็สวยไปอีกแบบครับ


พอดีกว่า ย้ายๆ ที่บ้าง 555+ เดินกลับมาฝั่งพื้นที่อุทยานฯ แถวๆ ที่กางเต็นท์ บริเวณร้านกาแฟกันบ้าง ลองถ่ายสาดย้อนแสงไป ก็ยังสวยอยู่นะเออ


ลองดูการถ่ายคนบ้าง สวยไหม "สวยสิ" (ไม่สวย กลับมาเดี๋ยวน้องไม่ทำงานให้ 555+)


นี่ก็ "สวย"


ขอตัวเองบ้าง ต้องยอมรับ ตากล้องคนสวยน้องเอิญเลย ถ่ายดีมากกกก 555+


มาดูอีกมุมกับบ้าง นี่ก็หนุ่มเกาหลีมาเอง


เอ้า !! อย่ายอมลุงเค้า สู้ๆ เต๋า 555+


และแล้วก็ได้เวลา... เก็บของ ไปยังสถานที่ต่อไปกัน ต้องทำเวลากันหน่อย "เก็บที่นี้ไว้ในความทรงจำก็พอ" ไปกินข้าวเช้ากันข้างหน้าตามแผน ขณะนี้เป็นเวลา 08:45 น. ป๊ะๆ ขึ้นรถ


เอ้า !!! ยังจะถ่ายอีกพี่ ขึ้นรถสิเฮ้ย 555+


จากปางอุ๋ง ไป บ้านรักไทย ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง อ้อ... ลืมบอกไป ปางอุ๋งที่เราอยู่ตอนนี้กับบ้านรักไทยที่จะไป ทั้งสองแห่งอยู่ห่างจากชายแดนเมียนมาไม่ถึง 5 กม. ขากลับรับรองมีตำรวจ ทหาร ขอตรวจบัตรประชาชนสมาชิกในรถชัวร์ 555+


เรามาถึงบ้านรักไทยกันเวลา 09:30 น. เอาจริงๆ ก็คือหิวกันแล้ว รีบเดินไปร้านอาหารโดยเร็ว (เดี๋ยวๆ ร้านมันอยู่ข้างหลัง เดินเลยมาทำไม 555+)


ร้านอาหารที่จะฝากท้องกันมื้อนี้คือ ร้านอาหารจีนยูนนาน "ลีไวน์รักไทย" นั่นเอง


บรรยากาศภายในร้านและนอกร้านถือว่าดีมากๆ ครับ ทั้งที่ตกแต่งเอง และที่เป็นอยู่แล้วตามธรรมชาติน้องๆ ผมเลยอดใจไม่ไหว พากันหยิบกล้องไปถ่ายรูปกันระหว่างรออาหาร นี่ก็เป็นอีก วิวจากมุมโต๊ะหนึ่งในร้านอาหารสาดไปยังทะเลสาบ ครับ


บริเวณรอบๆ ร้านก็มีจุดให้เก็บภาพมากมายครับ


ลองมาดูว่าที่น้องๆ เขาถ่ายกันรูปข้างบน วิวตรงนั้นเป็นยังไง นางแบบ "เต๋า" ช่างภาพ "เอิญ"


มุมนี้ก็ดูดี สวยๆ หลายมุมครับ อันนี้น้องๆ ไปถ่ายมาเป็นตัวอย่างครับ เนื่องจากอาหารลงแล้วต้องรีบกลับมา (ไม่งั้นหมดก่อน 555+)


ไม่นานนัก อาหารที่สั่งไว้ทั้งหมด ก็มาลง มื้อนี้จะเป็นมื้อ "ไฮไลน์ด้านอาหาร" นะครับ 



ขาหมู หมั่นโถว นี่คือที่สุดของผมเลยครับ ทั้งหมดนี้ราคา 1,800 บาทครับ ตกคนละ 200 บาท


เมื่อกินกันอิ่มแล้ว ก็ออกไปเดินย่อยหน่อย บ้านรักไทยขึ้นชื่อเรื่องไร่ชาครับ ดังนั้นมีมุมถ่ายรูปสวยๆ กับไร่ชาเพียบครับ ไหนๆ ก็กินอาหารร้านนี้แล้ว ก็เดินไปลีไวน์รีสอร์ท ต่อครับ รูปนี้ตรงไหน อะไรไม่รู้ ถ่ายไว้ก่อน ว่าแต่อย่าตีกันนะ คุณแม่กับคุณลูก 555+


เดินขึ้นเนินมาซักหน่อยก็มาถึงแล้วครับ คนที่ไม่ได้เข้าพัก จะขึ้นไปแถวบ้านพักไม่ได้นะครับ ได้แค่บริเวณไร่ชา


สนใจจองบ้านพักสุดชิลล์นี้ คลิกที่รูป ข้างล่างได้เลยครับ


ให้แค่ไหน เอาแค่นั้นครับ พวกเราได้หมด เริ่มปฏิบัติการเก็บภาพได้ 555+


เริ่มที่ผมเลยแล้วกัน 555+


ต่อด้วยคุณชายเฉียน


ตามด้วยมะนาวสวย


จบด้วย ท่านชายอัท (ทำไมโทนสีไม่เหมือนชาวบ้าน 555+)


ทางนั้นกำลังพยายาม "ทำอะไร" กันอยู่นะ


แอบไปส่องดูในกล้อง อ้อออ รูปนี้นี่เอง คุณหญิงเอิญ


พี่เฉียนขอเอามุมนี้แบบน้องเอิญบ้าง 


ถ่ายข้างบนจนพอใจแล้ว ก็เดินลงมาตรงทะเลสาบด้านล่างหน่อย ลองถ่ายสาดขึ้นไปร้านอาหารที่นั่งกินไป น่าจะสวยดี เริ่มจากน้องเอิญ คนพามาก่อนเลย 555+ สวย ธรรมชาติ


เอ้า !! เต๋า อย่ายอม >_<


พี่ขอบ้าง เอาแบบมุมกว้างๆ นิดหน่อยนะ น้องเอิญคนสวย ก็จัดให้ได้จ้า ^_^


สถานที่ถัดไป...ต้องขับรถยิงยาวร่วม 70 กม. ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงครึ่ง ปั้มน้ำมันไม่มีซักปั้ม น้ำมันเหลือไม่เยอะแล้ว 555+ ได้เวลาลุ้นระทึกอีกแล้วสิพวกเรา


คิดแล้วคันผมก็ไม่น่าไปถึงตัวอำเภอปางมะผ้า ที่จะมีปั้มน้ำมัน PT อยู่ จึงขอแวะเติมปั้มหลอดข้างทางก่อนเพื่อความชัวร์แล้วกัน จัดไป 6 ขวด ขวดละ 50 บาท/ลิตร (ลิตรละ 50 แอบแพงมาก 555+)


เมื่อมีน้ำมันให้อุ่นใจอีกครั้ง เราก็รีบเหยียบมาให้ถึงสถานที่ถัดไปทันที เพราะเป็นอีกไฮไลท์ของทริป ถึงจะพลาดไปเมื่อวานแต่เราไม่ตัดออก 555+ คิดไว้ว่าถึงแล้วต้องร้องว้าวว แน่นอน... และแล้วเราก็มาถึง "ก๋วยเตี๋ยวห้อยขา บ้านจ่าโบ่"


เมื่อมาถึงแล้ว ร้องว้าววว กันจริงๆ ว้าวที่คนจะเยอะไปไหน แทบไม่มีที่นั่งที่ยืนกันเลยทีเดียว 555+


ลองเดินมาเข้าอีกทางคนก็นั่งเต็มหมด แดดก็เริ่มร้อน (13:00 น. ก็ควรจะร้อนหล่ะ 555+) ยังดีที่ทางร้านมีร่มกางให้  >_<


เดินเข้ามาภายในร้าน ทุกจุดที่สามารถนั่งได้ ก็เต็มหมด 555+


จะลงไปนั่งตรงที่ว่างข้างล่าง ก็น่าจะสู้กับแดดไม่ไหว เริ่มรู้สึกว่าเรามาผิดเวลากันจริงๆ 555+


แต่ยอมรับเลยครับ บรรยากาศร้านเขาดีจริงครับ ถ้ามาช่วงเช้า อากาศเย็นๆ นะ ผมว่า OK เลยหล่ะ


นั่งกินก๋วยเตี๋ยวไป สูดอากาศบริสุทธิ์ไป อากาศเย็นๆ ซดน้ำซุปร้อนๆ มองดูธรรมชาติไป น่าจะฟิลล์


ได้แต่มโนไป (เพราะพวกเรามาตอนนี้ไง 555+) ต้องนั่งรอ ยืนรอให้โต๊ะว่างก่อนค่อยเข้าไป ระหว่างให้ผู้หญิงยืนรอโต๊ะไปนั้น พวกเราก็มาหาที่รอกันข้างนอก  (แมนสุดๆ 555+)


ได้มุมเด็ดๆ ถ่ายรูปอีกมุมแล้ว ดูเท่ห์ดี 555+


และแล้วเราก็ได้โต๊ะนั่งเสียที ซักพักมีก๋วยเตี๋ยวมาเสริฟ  ก็อร่อยใช่ได้นะครับ ถ้าได้นั่งกินแบบชิลล์ๆ ที่มโนไว้คงฟิลล์กว่านี้ 555+


กินเสร็จประมาณ 13:45 น. ต้องไปแวะเติมน้ำมันที่ตัวอำเภอปางมะผ้าก่อน จากนั้นก็ยิงยาวเข้า อ.ปาย ระยะทางประมาณ 60 กม. 


ระหว่างทางก็แวะจุดชมวิวกิ๋วลมแป๊บนึง สมาชิกส่วนใหญ่เมารถ เหลือกล้าแกร่งอยู่คนเดียว สมกับเป็น "คุณแม่" จริงๆ 555+


จากนั้นก็ออกเดินทางต่อ ไม่นานเราก็มาถึงที่พักในตัวเมืองปาย ชื่อ "Pai Cat Hut Guesthouse" ถึงประมาณ 15:00 น. บรรยากาศร่มรื่นดีมากครับ


กลุ่มเราจะได้พักตรงนี้ครับ เป็นห้องพักรวม ห้องละ 5 เตียง มี 2 ห้อง ก็แยกชายหญิงกันไป


สภาพที่นอนเป็นแบบนี้ครับ สนใจจองที่พัก คลิกที่รูป ข้างล่างได้เลย

แต่...มีเหตุจำเป็นบางประการ เลยยังเข้าห้องไม่ได้ พี่ที่ดูแลเลยแนะนำร้านกาแฟให้ไปนั่งชิลล์ระหว่างรอ (อยากจะบอกว่าพี่ที่ดูแลที่พัก ดูแลพวกเราดีมากๆ เลยหล่ะครับ ครั้งหน้าถ้าไปอีกคงไปพักที่นี้หล่ะ)  ก็เดินออกมาจากที่พักไม่ไกลครับ เลย 7-11 มาก็ถึงเลย ห่างจากที่พักไม่ถึง 50 ม. ชื่อร้าน The Pedlar Coffee ครับ มีที่นั่งชิลล์ๆ เยอะครับ


ผมสั่งคาบูชิโนร้อนไป ไม่นานก็ได้แล้วครับ ตามรูปด้านล่างเลยครับ ตกแต่งฟองได้สวยดี


ร้านนี้ OK เลย ผมชอบ จึงทำ Blog แยกเรื่องไว้ต่างหากครับ ติดตามได้ที่ >>คลิก<<

จากนั้นผมก็พาน้องๆ สมาชิกบางคนที่ยังพอเดินไหว ไปเดินเล่นระหว่างรอ โดยเดินไปจนสุดถนนเลยครับ 555+ จะไปเจอสะพานไม้ไผ่ข้ามแม่น้ำปายครับ จุดนี้เป็นจุดที่นิยมมาถ่ายภาพจุดนึงเลยครับ ตามรูปด้านล่างเลยครับ


ฝั่งตรงข้ามจะเป็น ที่พัก รีสอร์ทมากมายหลายเจ้าครับ การจะข้ามมาถนนคนเดินจากฝั่งนั้น ต้องใช้สะพานนี้สัญจรครับ ส่วนรูปนี้ขอบคุณน้องเอ็ม ช่างภาพครับ 555+


มาจากถนนคนเดิน จากบนสะพานด้านขวามือจะเป็น Downstream ที่จะไหลไปผ่านสะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย แล้วไหลไปบรรจบกับแม่น้ำสาระวินที่รัฐกะยา ประเทศเมียนมา


ด้านซ้ายมือจะเป็น Upstream ที่จะไหลมาจากทิวเขาแดนลาว จุดเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่และเมียนมา จริงๆ ถ้ามีหมอกด้วยจะสวยมาก เดี๋ยวตอนเช้ามาใหม่ดีกว่าครับ >_<


จากนั้นก็กลับที่พัก เพื่อเตรียมตัวไปสถานที่ถัดไปตามตารางของเรา (รู้สึกจะหลุดมาเยอะแล้ว 555+) นั่นคือ "หมู่บ้านสันติชล" หมู่บ้านชุมชนขาวจีน จากที่พักไปไม่ไกล 10 นาทีก็ถึงครับ


กว่าจะมาถึงก็เกือบจะ 5 โมงเย็นแล้ว แต่ผู้คนยังเยอะอยู่เลย นี่ขนาดเย็นวันอาทิตย์นะ ไม่คิดจะกลับไปทำงานวันจันทร์กันเลยเหรอ 555+


ร้านขายของฝาก ของที่ระลึก ก็จะเปิดจนคนไม่มีเดินนู่นแหล่ะ จริงๆ เขาบอกไว้ว่าถึง 18:00 น. แต่ถ้ามีคนก็ยังไม่ปิด 555+


มาถึงไม่พูดพร่ำทำเพลง จุดแรกที่น่าสนใจที่สุด คือ จุดประลองความแม่นยำ 555+ เริ่มต้นกันด้วยหน้าไม้ 


ตามด้วยการยิงธนู "เข้าเป้า" ไหมครับท่านชาย  (ท่าได้อยู่นะ 555+)


น้องมะนาวจะลองดูบ้าง เฉียนต้องสอนหน่อย (แบบนี้ แบบนี้  >_< )


เอาเข้าจริง เข้าเป้าตรงกลางเลยครับ ได้คะแนนเต็มไปเลย ได้รับมอบ "นกหวีดไม้" เป็นรางวัล เหลือบไปดูที่ผม นั่นนน ยังเก้ๆ กังๆ อยู่เลยครับ 555+


รู้สักธนูคันนั้นไม่เข้ามือ เปลี่ยนใหม่ดีกว่า ป้าเขาบอกเลือกเลยตามสะดวก (อย่าเพิ่งรำคาญผมนะครับ 55+)


เมื่อได้มาแล้ว ก็เล็งแล้ว เล็งอีก จาก 5 ดอก เข้าเป้าแค่ 1 ดอกเอง ไอ้ที่เข้าก็ไกลจุดศูนย์กลางที่ได้คะแนนไปเยอะโข 555+ (สนามธนูนี่มะนาวชนะเลิศครับ หึหึ)


ผมว่าผมเหมาะกับสนามนี้ที่สุด "สนามยิงปืน" เลือก M16 ไปเลยครับ เหมาะมือสุดๆ เข้าเป้าทุกนัด 555+


จากนั้นก็เดินชมสถานที่ต่างๆ กันไป แต่อยู่ๆ สาวๆ กลุ่มนี้ก็จับกลุ่มกัน แลดูมีลับลมคมใน 555+


ไม่นานทั้งสามก็ได้หายเข้าไปในปราสาทนี้ พวกเราก็เดินหาสิ รออะไรกัน 55+ แต่ว่าหมาก็กำลังฟัดกันนัวเลย !!


ต้องเดินขึ้นกำแพงด้วย ผู้อาวุโส ถึงขั้นต้องเดินลมปราณระหว่างขึ้นทีเดียว >_<


ไหนๆ ก็ขึ้นมาได้แล้ว ชักภาพซักรูปหน่อยครับท่าน (ว่าแต่ท่านี้ท่านได้แต่ที่ใดมา 555+)


ผมขอมั่ง เดี๋ยวเสียเปรียบ (นี่ยังงงแฟชั่นตัวเองอยู่เลย ว่านี่เราใส่อะไรวะ แมทกันสุดๆ 555+)


น้องเอิญคนสวยขอลองบ้าง มุมมหาชนจริงๆ เลยมุมนี้ (ก็มันสวยเนาะ >-< )


ช่างภาพประจำทริปก็พร้อม นางแบบ-นายแบบ 2-3 คนนั้น ก็วนกันถ่ายไปสิ 555+


ขึ้นมาตั้งนานแล้ว ยังไม่เห็น 3 สาวนั้นเลย สื่อมวลชนพร้อมมาก ณ จุดนี้ เกาะขอบกำแพงรอไป 555+


และแล้ว ก็มีอะไรขาวๆ แดงๆ เดินออกมากันแล้วครับ คือเข้าไป "เช่าชุด" แต่งตัวเป็นสาวจีนโบราณนี่เอง


เพิ่งออกมาได้แค่ 2 นาง แต่อีก 1 นั้นยังไม่คลอดรึเปล่า หรือจะสวยยังไม่เสร็จ >-< 


เปล่าเลยครับ "แม่นางเต๋า" ได้ขึ้นมาแล้ว ช่างภาพเอิญ กำลังเก็บภาพอยู่


เมื่อขึ้นมาครบทั้ง 3 นาง ก็จัดเข้ากับสถานที่ ชักภาพกันซักหน่อย ว่าแต่ใครเป็นนายใครเป็นบ่าวดูไม่ออกเลย 555+


เปลี่ยนมุมบ้าง มุมมหาชน ที่พวกเราได้ถ่ายไปก่อนแล้ว นั้นเอง (มะนาวมองกล้องไหนอยู่ 555+)


เปลี่ยนท่าหน่อย เช่ามาตั้งชุดละ 100 บาท เอาให้คุ้ม เต็มที่เลยแม่นาง 555+


มาดูเบื้องหลังการถ่ายทำกันบ้าง ช่างภาพและสื่อมวลชน "เพียบ" 555+


จัดไปกันทุกมุม กล้องไหนได้ รูปดี รูปสวย ค่อยไปคัดเอากันเองนะ  >_<


ก่อนจะคืนชุด ขออีกซัก 1 รูป คุณแม่และเต๋า ชุดสีขาวทั้งคู่ ส่วนมะนาวไม่เข้าพวก หลบไป 555+


ระหว่างรอสาวๆ คืนชุด ก็ออกมาเก็บภาพยามเย็นหน่อย ผมมาที่นี้บ่อยนะครับ แต่ไม่เคยมาหรืออยู่ถึงเย็นเลย พอเปิดไฟแล้วที่นี้ก็สวยไปอีกแบบแฮะ 


"ชิงช้า" ที่เป็นมุมมหาชนอีกมุม ก็ไม่มีคนเล่นเลย ท่านชายอัทของเราเลยได้โอกาส เกาะเล่นเสียหน่อย 


พอแสงจะเริ่มหมด ความมืดเริ่มมาแทนที่ ตัวชิงช้าและแสงที่ยังพอหลงเหลือมาตัดกัน มันเป็นภาพที่สวยงามมากครับ เลยขอถ่ายเก็บไว้ซักภาพแล้วกัน 


จากนั้นเราก็มุ่งหน้ากลับที่พักครับ พักผ่อนเอาแรงซักพัก จากนี้เราจะเดินทางไกลกันอีกครั้ง นั่นคือ เดินถนนคนเดินเมืองปายนั่นเองครับ อยากจะบอกว่ายาวมากครับ ตามเส้นสีส้มทั้งหมดในแผนที่เลยครับ


"ถนนคนเดินปาย" เป็นอีก 1 ไฮไลท์ของการมาเที่ยวครั้งนี้เลยครับ เป็นถนนคนเดินของเมืองเล็กๆ แต่กลับยาวมาก ของขายเยอะมากครับ เรามาเริ่มเดินกันเลย จากแผนที่ด้านบน ที่พักเรา (ปายแคทฮัท) แทบจะติดกับจุดเริ่มต้นถนนคนเดินเลย


ตอนนี้เป๋นเวลาประมาณ 19:00 น. คนเริ่มจะออกมาเดินกันบ้างแล้วครับ


เดินมาได้ซักพัก แวะชักภาพกับถนนคนเดินไว้เป็นที่ระลึกเสียหน่อย เอ้าเด็กๆ หันมา แชะ!!


ระหว่างทางน้องๆ เจอของกินน่าสนใจ อยากลองไปยืนจ้องอยู่พักนึง จึงตัดสินใจซื้อมาลองกิน


คุณป้าก็เริ่มเอาที่ย่างเมื่อครู่ ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำ ใส่ใบตองให้พวกเรา ก็อร่อยดีครับ หนึบๆ ดี


จากนั้นก็เดินกันต่อครับ หนทางยังอีกยาวไกล 555+ แต่คนเริ่มจะหนาตาแล้ว


ระหว่างทางผมเกิดหิว เห็นของน่าสนใจ "สะเต๊ะลือ" น่ากิน เลยสั่งไป 3 ไม้
(วันนี้เราจะฝากท้องกันที่ถนนคนเดิน ใครอยากกินอะไรก็เลือกซื้อ เดินกินได้ตามสบาย) 


แม่ค้าก็เอาไปย่าง (อุ่น) ให้ร้อนครับ มีน้ำจิ้มกับเครื่องเคียงวางข้างๆ ด้วย ผมก็โซ้ยเอาตรงนั้นเลย อร่อยดีครับ 55+


เดินไปอีกหน่อย มาเจอร้านขายเมี้ยงคำ ของร้านนี้ก็อร่อยครับ 


จากนั้นก็เดินต่อไปอีกซักพักครับ บริเวณข้างร้านขายโพสการ์ดกับร้านอูคูเลเล่ มีพี่ 2 ท่านนี้มาขายเพลง ร้องเพลงและเล่นดนตรีได้เพราะมากครับ สไตล์ "ไม้เมือง" เลย ฟังแล้วแทบจะลอยครับ


เดินต่อมาไม่ไกล ตรง "ซุ้มประตูวัดป่าขาม" ก็มีชาวเมืองปายมาร่วมกันร้องเพลง เต้นรำกัน มีนักท่องเที่ยวเข้าไปร่วมแจมบ้าง ดูอบอุ่นดีครับ


ถัดจากวัดมาซักหน่อย ตรงนี้ถนนจะแคบลง  ผู้คนก็จะแน่นหน่อย อย่างที่เห็นในรูปด้านล่างเลยครับ


ผมเดินไปอีกซักพัก เจอของที่ตามหาแล้วครับ ตั้งใจว่ามาปายครั้งนี้จะมากินซ้ำให้ได้ BBQ ครับ อร่อยดีนะ


ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะครับ ตอนนี้ประมาณ 2 ทุ่ม ผู้คนเริ่มเต็มพื้นที่แล้ว


ผมและชาวคณะก็เดินไปจนสุดถนนคนเดิน เกือบจะถึงสะพานข้ามแม่น้ำปาย ที่เดินมาตอนช่วงสี่โมงเย็น แล้วก็เดินย้อนกลับทางเดิมครับ ใครอยากกินอะไร เห็นมาหมดแล้ว คราวนี้ก็แวะเอาร้านที่ชอบได้เลย


เดินผ่านร้าน BEER อยากบอกว่าร้านนี้น่าสนใจครับ เขามีตำนาน เบียร์ร้านนี้แรงมากครับ ถ้าใครมั่นใจในตัวเองผมอยากให้ลองดูครับ แก้วเดียวรู้เรื่อง 555+ 


จากนั้นเราก็เดินมาเรื่อยๆ มีน้องๆ แต่งชุดคอสเพล์ทหารญี่ปุ่นมายืนให้ถ่ายรูปด้วยครับ
(เดี๋ยวจะอธิบายต่อไปในการเดินทางวันพรุ่งนี้ว่า "ทหารญี่ปุ่น" มาเกี่ยวอะไรกับเมืองปาย นะครับ)


เดินจนจะสุดแล้ว นึกถึงรีเจนซี่ เบียร์ โซจูต่างๆ เราเหลือมาจากปางอุ๋งเยอะพอสมควร งั้นวันนี้เราหากับแกล้มไปนั่งกินกันบริเวณที่พักดีกว่า เมื่อตัดสินใจกันเช่นนั้น กับแกล้มที่ว่าก็คือ "หม่าล่า" นั้นเอง


เลือกใส่ตะกล้าเสร็จ ก็เข้ามานั่งรอในร้านได้เลย คิวแอบยาวครับ 555+


เมื่อได้ของ...เราก็เดินกลับที่พัก สี่ทหารเสือหน้าเดิมจากที่ปางอุ๋ง (ผม ท่านชาย เอ็ม ท็อป) ประจำที่ เอาของที่เหลือออกมาเท นั่งกินกันไปชิลล์ๆ แต่ระหว่างนั้น เต๋า (เลขาฯ) กับมะนาว (เหรัญญิก) เรียกประชุมด่วน ถึงสถานการณ์พรุ่งนี้ (วันจันทร์) ว่าจะเอายังไง จะไปนอนห้วยน้ำดังตามแผน หรือจะนอนที่ปายเช่นเดิม เพราะห้วยน้ำดังอากาศจะหนาวที่สุด ลมแรงด้วย แค่นอนเต็นท์ที่บางอุ๋งหลายคนยังแทบไม่รอด 555+ สรุปเลยตัดสินใจพักที่ปายกันอีกคืน แล้วค่อยขึ้นไปห้วยน้ำดังกันช่วงเช้าของวันอังคาร 

เมื่อได้ข้อสรุปดังนั้น... แสดงว่าพรุ่งนี้ผมไม่ต้องตื่นเช้าเพื่อขับรถไปจองเต็นท์ที่ห้วยน้ำดังแล้วสิ ก็ดึกได้สิ 555+ ท่านชายได้เสนอไปร้าน Jazz Bar ไปนั่งกินเบียร์ฟังเพลงแจสกัน OK ครับ ไปไหนไปกัน 4 สหาย >-<  แต่ไกลเอาเรื่องครับ สุดถนนคนเดินเลย (ตามแผนที่ข้างบน) เกือบ 15 นาทีเราก็มาถึงกัน


ดีครับ ฝรั่งเต็มร้านเลยครับ ท่านชายก็ไปทักทายชาวต่างชาติที่นั่งข้างๆ ตามสไตล์ผู้ดีอังกฤษ 555+


จากนั้นก็ไปสั่งเบียร์มานั่งกินกัน กะนั่งฟังเพลงชิลล์ๆ จิบเบียร์เบาๆ ฮัมเพลงตาม


แต่...เพลงแต่ละเพลงที่พวกพี่เขาเล่นมานั้น ไม่คุ้นหูซักเพลง 555+ 


พวกเราไม่คุ้นหูไม่เท่าไหร่ แต่ฝรั่งทั้งร้านร้องตามกันได้หมด ลุกโยกกันมันส์เลย มันคืออะไร 555+


พวกเรา 4 คน คงไม่เหมาะกับร้านนี้แล้วมั้ง หึหึหึ เราซื้อเบียร์ 7-11 ไปนั่งกินที่เดิมของเรากันเถอะ ว่าแล้วก็ตามนั้นครับ เดินกลับแวะซื้อเบียร์ที่ 7-11 ข้างที่พัก แล้วไปนั่งกินที่เดิม 555+ เกือบจะตีหนึ่งก็แยกย้ายกันเข้านอนครับ 
(อ้อ.... ลืมให้ดู นี่คือสภาพที่นอนของพวกเราครับ ^_^ )


**** จบวันที่ 2 (วันอาทิตย์) ****

------------------------------------------------------------------------------------------------
วันที่ 3 (วันจันทร์)

เนื่องจาก... ผมไม่ต้องไปห้วยน้ำดังแล้ว วันนี้เลยขอตื่นสายแบบสุดๆ "อาหารเช้า" นั้นสมาชิกทุกคนช่วยเหลือตัวเองเลย หากินกันเองตามยถากรรมนะ (ทิ้งลูกทัวร์ขึ้นมาทันที 555+) ส่วนใหญ่น้องๆ ก็จะไปกินร้านน้องเบียร์ที่อยู่ใกล้ที่พักหรือเดินไปกินโจ๊กหน้าศาลจังหวัดฯ สาขาปาย (อยู่ช่วงกลางถนนคนเดิน) ทางที่พักก็มีกาแฟ โอวันตินและปาท่องโก๋ให้ พอตื่นมาผมก็กินมันของฟรีนี่แหล่ะ >-<  

วันนี้... ตั้งใจจะเก็บสถานที่ท่องเที่ยวในปายให้ครบตามแผนและอาจจะมีเพิ่มเติมจากแผนด้วย เพราะเราไม่ต้องรีบขึ้นห้วยน้ำดังแล้ว เมื่อตกลงกันเรียบร้อย ก็ทำการจองที่พักสำหรับคืนนี้ เนื่องจากโรงนอนที่เราพักกันคืนนี้ไม่ว่างแล้ว เลยตั้งใจจะลองออกไปพักนอกเมืองหน่อยเผื่อจะมีราคาถูกบ้าง ระหว่างจองที่พักผ่าน Booking.com อยู่นั้น (ตัดบัตรเครดิตผมไปเรียบร้อย 555+) พี่คนดูแลที่พักก็เดินมาบอกว่าเอาบ้านข้างหน้าไหมหล่ะ ให้ทั้งหลังเลยนะ "ราคาพิเศษ" จาก 5,500 ลดเหลือ 2,500 บาท เอาสิครับพี่ !! รออะไร ถูกกว่าที่จองไว้อีก 555+ รีบยกเลิกที่จองกับ Booking ไว้ทันที พี่เขาบอกว่าเดี๋ยวจัดเตรียมที่นอนสำหรับทุกคนไว้ให้ก่อน ไปเที่ยวกลับมาน่าจะเข้าพักได้เลย เราจึงออกเดินทางไปยังจุดแรกกัน "วัดพระธาตุแม่เย็น" นั่นเอง ขับรถไปประมาณ 10 นาทีถึงครับ ตามแผนที่เลย


เมื่อมาถึงจะมีลานจอดรถอยู่ตรงหน้าบันไดทางขึ้นไปกราบ "พระพุทธโลกุตระมหามุนี" (แอบคล้ายทางขึ้น "พระพุทธรูปเทียนถาน" ที่ฮ่องกงอยู่เหมือนกันนะเนี่ยะ 555+ ไว้เดี๋ยวผมจะมารีวิวในบทความ "ฮ่องกง"ต่อไปนะครับ) จอดรถเสร็จด้านขวามือของรูปข้างล่าง (ผมถ่ายไปไม่ถึง) จะมีห้องน้ำอยู่ เข้าให้เรียบร้อยก่อนเดินขึ้นนะครับ 


เรามาถึงประมาณ 09:30 น. ถ้าเช้ากว่านี้หมอกลงจัดครับ มองอะไรไม่ค่อยเห็น ก่อนขึ้นไปก็ชักภาพกันเสียหน่อย


ผมเดินมาไหว้พระตรง "พระธาตุแม่เย็น" แล้วลองถ่ายภาพย้อนขึ้นไปทางพระพุทธรูป สวยดีครับ ไม่ค่อยเหมือนอยู่ประเทศไทยเลย


"จุดชมวิวเมืองปาย" บริเวณพระธาตุแม่เย็นครับ เมืองเล็กๆ ที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา ผมมาทุกครั้งก็ถ่ายที่นี้ทุกครั้งครับ 555+


ย้อนกลับมาดูสมาชิกที่เดินขึ้นไปไหว้พระกันบ้าง เริ่มจากน้องเอิญคนสวย ไหวไหมหนู >_<


เอ็มก็กำลังจะถึงแล้ว อีกนิดน้อง 555+


เต๋าและคุณแม่ ก็ขึ้นมาถึงเป็นที่เรียบร้อย สงบเสงียมผิดวิสัยเชียว 555+


วิวบนนี้ก็สวยครับ ตรงทางลงหน้าพระพุทธรูปเลย ขอบคุณน้องเอิญ นางแบบ++


ก็ได้เวลาสมควรแล้ว ไปที่อื่นกันเถอะ ลงๆ (ผม เฉียน มะนาว รออยู่ข้างล่างครับ ไม่ได้ขึ้นมา เหนื่อย 555+)


สถานที่ถัดไปจะเป็น "สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย" ห่างจากที่นี้ 8 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีครับ
(จริงๆ 15 นาทีก็ถึง แต่ช้าเนื่องจากโดนคุณตำรวจสุ่มตรวจซักถามกลางทางครับ ที่คิดไว้เมื่อวานโดนจนได้ >_< เพราะสมาชิกเรายิ่งหน้าตาไม่ค่อยเหมือนคนไทยด้วย เกือบได้ร้องเพลงชาติโชว์แล้ว 555+)


และแล้วพวกเราก็รอดจากตำรวจมาถึง "สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย" แล้วครับ เก็บภาพหมู่ไว้ซักหน่อย


คุณชายอัท (ช่างภาพอาวุโส) ขอเดี่ยวบ้าง ผมนี่ยอมใจท่าถ่ายรูปของพี่ท่านแต่ละท่าจริงๆ หาซื้อมาจากไหนเนี่ยะ 555+


น้องเอ็ม ช่างภาพประจำทริปของเราบ้าง (หมวกกับชุดเหมือนคนญี่ปุ่นอยู่นะเรา เข้ากับสะพานนี้อยู่นะ 555+)


มาสาระกันบ้าง ที่ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ว่าทหารญี่ปุ่นเกี่ยวกับอะไรกับเมืองปายนะครับ คือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นใช้เส้นทางปายเป็นทางผ่านจากเชียงใหม่ไปพม่า (เมียนมา) ดังนั้นทหารญี่ปุ่นจึงได้สร้างสะพานนี้ขึ้น เพื่อใช้สัญจรข้ามแม่น้ำปาย ทำให้ทหารญี่ปุ่นต้องใช้ชีวิตอยู่ที่ปายในช่วงเวลาหนึ่งนั่นเอง ปัจจุบันสะพานแห่งนี้ไม่ได้ให้รถใช้สัญจรแล้ว เพราะมีสะพานทางหลวง 1095 ขนานอยู่ด้านข้าง (ทางขวามือตามรูปด้านล่าง) จึงใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุสรณ์ให้รำลึกถึงเท่านั้น


ด้านหน้าสะพานจะมีป้ายประวัติความเป็นมาต่างๆ ถ้าใครแวะไปลองไปหาอ่านดูเอาครับ 555+


เราไปสถานที่ต่อไปกันเถอะ ตามแผนที่เลยครับ ไม่ไกลกันมาก


ปายแคนยอนหรือกองแลน นั่นเอง จอดรถเสร็จต้องเดินขึ้นไปประมาณ 150 ม.เล่นเอาเหนื่อยกันพอสมควรครับ 55+


ไม่นานเราก็เดินมาถึงครับ ปายแคนยอนหรือกองแลน คำว่า "กองแลน" มาจากภาษาพื้นเมือง หมายถึง เส้นทางสัญจรของตะกวดที่แคบและเล็ก ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการถูกกัดเซาะของลมและฝน จนกลายเป็นทางเส้นเล็กๆบนสันเขา ท่ามกลางภูเขาสลับซับซ้อน และบรรยากาศที่สวยงาม และที่สำคัญทางเดินจะแคบและด้านข้างจะเป็นหน้าผาค่อนข้างสูงและชันมากครับ ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินชมและถ่ายรูปนะครับ 


ช่วงนี้เป็นเวลา 11:00 น. แดดกำลังได้ที่เลยครับ ชาวต่างชาติชอบมาเที่ยวกัน เค้าไม่กลัวแดดกันเลยเนอะ จากรูปด้านล่าง 2 คนนี้ที่กำลังเดินไป ก็เดินยาวไปถึงเนินเขาอีกฝั่งนู่นเลยครับ 


ส่วนพวกเรานั้น ก็เอาแค่ตรงนี้ก็พอเนาะ!! เพราะมีสมาชิกหลายท่าน ขาสั่นไม่กล้าข้ามไป 55+ เอาคนที่กล้าที่สุดก่อนเลย เฉียนของเรานั่นเอง


ถัดมาก็เป็นท็อป โดยมีเฉียนเป็นองค์ประกอบพื้นหลัง


มะนาวบ้าง อย่าไปยอมพวกผู้ชาย 555+


พี่ขอมั่งดิ ปกติมาคนเดียว ไม่มีใครถ่ายให้ 555+


หน่วยกล้าตายของเราอยากลองจุดวัดใจครับ ข้างๆ นั่นคือเหวลึกจริงๆ นะครับ หลายสิบเมตรเลย 
(เคยมีนั่งท่องเที่ยวผลัดตกลงไปบาดเจ็บสาหัสด้วยนาาา ระวังกันด้วย  >_< )


แต่วิวมันก็สวยจริงๆ นั่นแหล่ะนะ 555+


แต่กลับมาเถอะ พี่เสียวแทนหว่ะ ลื่นนิดนึงนี่ได้ใช้ประกันที่ซื้อมาเลยนะ 555+


พอหอมปากหอมคอ พวกเราก็เดินลงมาจุดที่จอดรถ ขณะนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว หาที่กินข้าวกันดีกว่า ได้ร้านที่อยู่ไม่ไกล รีวิวว่าบรรยากาศดี ก็จัดไปครับ ประมาณ 5 นาทีก็ถึงตามแผนที่เลยครับ


ประมาณ 11:30 น. เราก็มาถึงร้าน Armina แล้วครับ ร้านเขาบรรยากาศดีจริงๆ ครับ


มีจุดให้นั่งกินข้าว นั่งชิลล์ ชมบรรยากาศ ชมธรรมชาติ ได้หลายรูปแบบเลย สาวๆ เลือกแบบเอกเขนกครับ


ส่วนพวกผู้ชายไปนั่งห้อยขากองกันอยู่ตรงโน้น 555+ (กำลังสุมหัวกันสั่งอาหาร)


รอไม่นานอาหารก็มาครับ ผมสั่ง "ผัดไทย" ไป รสชาติใช้ได้เลยครับ


แล้วก็กาแฟเย็นอีก 1 แก้ว กลมกล่อมมากครับ 


ก็นั่งกินยาวๆ กันไปครับ กินเสร็จก็นั่งเล่นต่ออีกหน่อย บรรยากาศดี ไม่ต้องรีบ

ร้านนี้เป็นอีกร้านที่ผมประทับใจครับ เลยทำ Blog แยกเรื่องไว้ต่างหากเลย >>สนใจคลิก<<

จากนั้นเราต้องออกนอกแผนกันแล้วหล่ะ เก็บเกือบหมดแล้วที่ตั้งใจไว้ ไปไหนกันดีหล่ะทีนี้ เฉียนเลยเสนอไปสะพานบุญของปายกัน เพราะเราได้ข้ามสะพานไม้ซูตองเปที่เป็นสะพานบุญเหมือนกันไป โอเคตามนั้น ขับยาวๆ ไป 7 กม. แต่ขึ้นเขานิดหน่อย ถนนแคบด้วย เลยใช้เวลาร่วม 20 นาที (ตามแผนที่เลยครับ)


และแล้วเราก็มาถึงครับ ชื่อ "สะพานบุญโขกู้สุ่ย" เป็นสะพานไม้ไผ่สานครับ ความยาว 800 ม. เลย เอ้า!! ไหนๆ ก็มาแล้ว ชักภาพกันโหน่ยยยย


บรรยากาศด้านข้างสะพานไม้ครับ ช่วงหน้าหนาว ข้าวก็เก็บเกี่ยวไปแล้ว มันก็จะดูแล้งๆ หน่อย
(ถ้ามาช่วงหน้าฝนที่นี้น่าจะสวยน่าดู ทุ่งนาคงเขียวชอุ่ม)


มีลุงท่านหนึ่ง รีบวิ่งมาไล่ควายตัวนั้นให้ บอกว่ามันดุ อย่าไปใกล้มันนะ (ไม่ใช่หมา แมวนะลุง พวกผมไม่เข้าไปลูบมันหรอก 555+)


ตัวสะพานไม้ทอดยาวผ่านทุ่งนา มีจุดแวะพักเป็นช่วงๆ จนไปถึงเนินเขาลูกข้างหลังนู่นเลยครับ


เมื่อเดินหมดสะพานไม้ไผ่สานแล้ว ก็จะมาถึงสะพานไม้ของจริงก่อนเข้าเขตวัดป่า อย่างในรูปครับ


สภาพในวัดป่า สงบ ร่มรื่นมากครับ (อันนี้ฟังจากน้องเต๋า เอิญ เอ็ม สมาชิก 3 คนที่เดินไปถึง มาอีกที) เพราะสมาชิกที่เหลือนอนสลบอยู่ที่ศาลาจุดพักแรกแล้ว 555+


หลับไปซักพัก รู้สึกอยากกินกาแฟอีกแล้ว (ทั้งๆ ที่เพิ่งกินไปแท้ๆ 555+) เลยเดินมาร้านกาแฟที่อยู่บริเวณสะพานไม้ ชื่อร้ายชื่อเดียวกับสะพานบุญเลยครับ "Kho Koo So Coffee" ตกแต่งสถานที่กรมกลืนดีมากครับ สั่งแล้วนั่งรอกาแฟซักพัก ได้แล้วก็หามุมสงบๆ ให้ตัวเอง >_< 


เดินเลาะมาเรื่อยๆ เห็นกะต๊อบน้อยอยู่สุดทาง จองเลยครับ ตรงนี้วิวดีด้วย 555+


บรรยากาศรอบๆ เหมือนกำลังสร้างกระท่อม และลานกิจกรรม คิดว่าเขากำลังทำพื้นที่ให้เข้ากับฤดูหนาวอยู่มั้ง


ก็นั่งแช่ นอนแช่ ตรงนี้ยาวๆ ไปครับ มองดูผู้คนเดินผ่านไปมา (สมาชิกที่นอนอยู่ศาลาแรก ตื่นกันแล้ว กำลังทยอยกันเดินกลับมา 55+)


มีชาวต่างชาติสาวสวย 2 คน ไม่กลัวแดด มานั่งเล่นชิงช้าให้มอง เพลินๆ ดีครับ 555+


นั่งจ้องไปที่สะพานไม้ที่ยาวไปถึงวัดป่า เริ่มเห็นสีเสื้อคุ้นๆ เดินกลับมาแล้ว 


ใช่แล้วครับ พวกเขารอดชีวิตกลับมาแล้ว เอ้าววว เฮ!!!! 


เมื่อสมาชิกกลับมากันครบหมดแล้ว ก็เดินกลับไปที่รถกันครับ แต่ผมไม่ได้เดินกลับทางสะพานเหมือนเดิม กระโดดลงด้านข้างกระต๊อบน้อย มาเดินดูสิ่งที่เขากำลังสร้างไปด้วยเลย 555+ (ด้านหลังเป็นกระต๊อบน้อยที่ผมอาศัยอยู่เกือบชั่วโมง >_<)


ถ้าเสร็จแล้วคงสวยน่าดู (ณ เวลานี้ก็น่าจะเสร็จหมดแล้วมั้งนะ)

สถานที่แห่งนี้ก็เป็นอีกแห่งที่ประทับใจมากเช่นกัน จึงได้ทำ Blog แยกไว้เหมือนเคย >>สนใจคลิก<<

สถานที่ถัดไปเป็น "น้ำตกแพมบก" และ "แผ่นดินแยก" ครับ อยู่ไม่ไกลกันมาก กลับเส้นทางเดิมตามแผนที่เลยครับ

ไม่ถึง 10 นาทีเราก็มาถึง "น้ำตกแพมบก" จอดรถข้างหน้าแล้วเดินขึ้นไปนิดหน่อยครับ มีแต่ฝรั่งล้วนๆ เลยทีนี้ 555+


ไหวไหมวัยรุ่น 555+


ไม่นานเราก็เดินมาถึงครับ "น้ำเย็นมาก" มีหน่วยกล้าตาย 1 นาง ลงไปสำรวจ 555+


และแล้วก็เดินมาถึงตัวน้ำตกครับ ชักภาพไว้เป็นที่ระลึกหน่อย มาไกล 555+


ระหว่างนั้นก็มีสมาชิกอีก 2 นางไม่ยอมลงมา 555+


โบกไม้ โบกมืออยู่ปากถ้ำนู้นนนนน รอเรากลับขึ้นไปแล้วเดินกลับรถพร้อมกัน 555+


สถานที่ถัดไป "แผนดินแยก" ฟังชื่อดูอลังการ น่ากลัวมากเลย ต้องตื่นเต้นแน่เลย จอดรถเสร็จก็เข้ามาในพื้นที่ เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลครับ เจ้าของพื้นที่มาต้อนรับ (อัธยาศัยดีมากครับ) บอกว่าให้เดินวนซ้ายดู จะได้ตื่นเต้นๆ 555+ เราก็เดินมาเรื่อยๆ ไหน... แผ่นดินแยก นี่มันดงกล้วยชัดๆ !!!


ไหนๆ ก็มาแล้ว โพสท่ายืนงงในดงกล้วยกันดีกว่า 555+


เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ เริ่มรู้สึกว่า ไม่ชิลล์แล้ว เส้นทางไปต่ออยู่ไหนวะ 555+


นี่เราต้องปีนกันใช่ไหม 555+


เมื่อปีนขึ้นมา ก็จะมาพบอีกดินแดนหนึ่งครับ เหมือนช่องเขาเลย


มีทั้งจุดที่กว้างและจุดที่แคบ


บางจุดแคบจนผมแทบไปไม่ได้ (เริ่มอ้วนระยะที่ 1 ก็งี้ 555+)


ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ คนเดียว จากรูปบนรู้สึกจะไปต่อไม่ได้แล้ว เลยเดินกลับทางเดิม แต่เพื่อนๆ หายหมด 555+ เอาวะ !! จำใจย้อนกลับไปเส้นทางที่ออกมาเมื่อกี้ ต้องปีนต้นไม้ขึ้นมากันเลยทีเดียว >_< ขึ้นมาข้างบนได้ มองกลับลงไปที่ก่อนผมจะขึ้นมาเป็นสภาพแบบนี้ครับ 555+


ดูจากด้านบน... แต่ละรอยแยกมีความลึกและความกว้างไม่เท่ากัน ลุงเจ้าของพื้นที่เล่าว่าได้มีนักธรณีวิทยาเข้ามาสำรวจแล้ว โดยสันนิฐานว่าด้านล่างของพื้นที่นี้เป็นโพรงน้ำ จึงทำให้เกิดการยุบตัวของแผ่นดินขึ้น เหมือนที่เห็นเป็นรอยแยกขนาดใหญ่ในรูป ที่ผ่านมามีการเกิดรอยแยก 3 ครั้ง ครั้งแรกเกิดในช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 มีความลึกประมาณ 11 เมตร ถัดมาเกิดเมื่อวันที่ 1 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 มีความลึกประมาณ 7 เมตร และครั้งสุดท้ายปี พ.ศ 2553  มีความลึกประมาณ 1 เมตร ทั้งหมดจะเกิดขึ้นตอนกลางคืน ลุงแกจะทำป้ายติดไว้ให้ว่า จุดไหนไหนเป็นของปีไหนครับ


เอาเป็นว่าผมรอดแล้ว ไปดูสมาชิกคนอื่นที่แยกไปคนละทางกับผมกันดีกว่าว่าจะทุลักทุเลกันขนาดไหน 555+


หนักเอาการเลยครับ สำหรับท่านชายอัท ที่เพิ่งไปผ่าตัดเข่าทั้งสองข้างมา 555+ (นี่ขำทำไมไม่รู้ >_< )


และแล้วทั้งหมดก็รอดชีวิตครั้งนี้มาได้ เก็บรูปกับป้ายไว้เป็นที่ระลึกหน่อยละกัน ถึงความพยายามของพวกเรา 555+


วนกลับลงมาถึงทางเข้าด้านหน้า ลุงเจ้าของพื้นที่ถามว่าเป็นยังไงบ้าง ได้แต่หัวเราะครับ พูดอะไรไม่ออกกัน ลุงมี "น้ำกระเจี๊ยบ" ให้ดื่มฟรีคลายเหนื่อยด้วยนะครับ เหนื่อยๆ มาได้น้ำกระเจี๊ยบ เปรี้ยวๆ อมหวาน เย็นๆ มาตัด มันช่างฟิลล์อย่างบอกไม่ถูกครับ
(ดูหน้าท่านชายเราได้ 555+)


รู้สึกไหมครับว่ารูปบน น้องหมาดูเกรงๆ จะไม่ให้กลัวได้ไง พี่อัทมานั่งเหนื่อยหายใจแรงใส่อยู่ข้าง 555+


ที่นี้... ผมแนะนำเลยนะครับ ค่าเข้าชมลุงก็ไม่เก็บครับ มีเพียงกล่องช่วยสนับสนุนครับ แล้วแต่จะหยอดกันเลยครับ ตอนนี้ก็ 16:00 น. แล้วไปสถานที่ถัดไปกันเถอะ คราวนี้อยู่ไกลพอสมควรขับรถไปประมาณครึ่งชั่วโมงครับ (ตามแผนที่เลยครับ)


มาถึงแล้วครับ "น้ำตกหมอแปง" ครับ ช่วงหน้าหนาว น้ำดูน้อยๆ หน้าฝนน้ำจะเยอะมากเลยครับ


มาแล้ว ก็ "นางแบบ" ของเราเชิญหน่อย !!


น้ำน้อยจริงๆ ครับ อากาศเริ่มเย็นแล้วด้วย (เกือบ 5 โมงเย็นแล้ว) คนเลยไม่ค่อยมี เมื่อก่อนผมมาจะมีคนมาเล่นน้ำที่จุดนี้กันเยอะครับ (เต๋ายังคงสำรวจต่อ 555+)


บรรยากาศ บริเวณน้ำตกครับ


จุดนี้ ถ้าไปถ่ายจากข้างล่างขึ้นมาจะสวยมาก แต่...ผมขี้เกียจเดินอ้อมลงไปครับ เอามุมนี้แล้วกันเนอะ (แบบนี้ก็ได้เหรอ 555+)


สถานที่ถัดไป ขับรถย้อนมาทางเดิม ไม่ไกลจากตัวน้ำตกนักก็มาถึงไร่สตอเบอรี่ "ม่อนหมอแปง" บรรยากาศดีเลยครับผม


จอดรถเสร็จก็ขึ้นไปนั่งเล่ พักเหนื่อยหรือหาอะไรกินที่ร้านค้าก่อนเดินไปถ่ายรูปข้างบน


เอาเป็นว่าเรานั่งกินจริงจังเลยแหล่ะ >_<  สตอเบอรี่แก้วละ 20 บาท หวาน กรอบ อร่อยมากครับ (ผมจัดไปคนเดียว 3 แก้ว 555+)


นั่งแช่พักหนึ่ง เราก็เดินขึ้นมาถ่ายรูปข้างบนบ้าง วิวดี บรรยากาศดีจริงๆ ครับบอกเลย


มาถึงช่วงเย็น สตอเบอรี่ก็จะถูกเก็บไปเกือบหมดแล้ว เหลือแค่ลูกอ่อนหล่ะตอนนี้ 


แต่...ก็ยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง >_<


เมื่อไหร่เราจะเก็บเต็มถังหล่ะ เก็บไปนะเด็กๆ 555+


ถ้าไม่ไหว ไม่ต้องเต็มก็ได้นาาา อย่าเครียดๆ 555+


เพื่อนก็ไม่ช่วยเก็บ ไปคุยกับหนุ่มอยู่นู่นน หุหุ


พอ เลิก แค่ไหนแค่นั้น เปลี่ยนจากเก็บสตอเบอรี่มาทำงานถนัด "ถ่ายรูป" กันดีกว่า 555+


ระหว่างทางขากลับ เราต้องผ่าน "วัดน้ำฮู" อยู่แล้ว เลยพาสมาชิกแวะเข้าไปสักการะพระบรมราชานุเสาวรีย์ของสมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถ และพระสถูปที่ประดิษฐานพระอัฐิของพระพี่นางสุพรรณกัลยา ด้วย


จากนั้น...คณะเราก็กลับมายังที่พักครับ บ้านพักหลังใหม่ที่คุยไว้เมื่อเช้าก็ได้แล้วครับ พี่คนดูแลที่พักจัดการให้เสร็จเรียบร้อย ทุกคนเฮโลกันเข้าไปจับจองพื้นที่กัน ผมก็ออกมาเก็บรายละเอียดเพื่อจะเอามาทำรีวิวหน่อย (บอกเลยว่าผมพลาดมากที่ไม่ขึ้นไปพร้อมเด็กๆ 555+)

อันนี้ตัวบ้านด้านหน้าที่ติดกับถนนครับ


มีป้ายแนะนำ "บ้านพักนี้" ติดไว้หน้าบ้านด้วย


แล้วก็ "เข้าบ้าน" ขึ้นไปถ่ายข้างบนกันบ้าง แต่.... เละแล้วครับโผม น้องๆ ละแลงที่นอนกันแล้ว 555+ 


เอาเป็นว่าดูแบบสภาพที่นอนยับๆ ก็ได้เนอะ ผมไม่ทันจริงๆ 555+ ด้านบนจะมี 2 ห้อง ห้องละ 3 เตียง แต่ผู้หญิงมี 4 คน งั้นห้องผู้หญิงยัด 4 ไป >_<


ตรงหน้าทีวีก็มีที่นอนอีก 2 คน น้องเอ็มกับท่านชายนอนข้างนอกนะ 555+


สภาพบ้านโดยทั่วไป กว้างขวางครับ ข้างบนมีห้องน้ำ 1 ห้อง ข้างล่างมีอีก 1 ห้อง แยกชายหญิงกันไป


ด้านล่างมีห้องครัวไว้ทำอาหารได้ครับ มีจานมีช้อน ไมโครเวฟ ครบ


เดินลงไปดูข้างล่างกันบ้าง อ้อ...ที่นี้มีรองเท้าแตะเตรียมไว้ให้ด้วยนะครับ เดินลงบันไดนิดหน่อยก็ถึงด้านล่างครับ มีโต๊ะนั่งเล่นด้านหน้าไว้นั่งชิลล์อวดชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วย 555+


ถัดมาด้านในอีกหน่อยมีโต๊ะอาหาร หรือโต๊ะประชุม มีบอร์ดกับกระดาษแผ่นใหญ่เตรียมไว้ให้ด้วย เหมาะกับมาสัมมนากลุ่มย่อยเล็กๆ  ได้เลยครับ


พอดีกว่าสำหรับรีวิวที่พัก 555+ ขณะนี้เป็นเวลา 18:30 น. ได้เวลาออกไปหากินกันแล้วครับ วันนี้เราจะไปกินขันโตก (อาหารพื้นเมืองของทางเหนือ) กัน เดินไปครับ ชิลล์ๆ 500 ม. ตามแผนที่เลยครับ


เราเดินมาถึง "เฮือนขันโตก" กันตอนเวลาประมาณ 19:00 น. บรรยากาศภายในร้านดูดีเลยครับ ดู Classic ดีมากครับ


ที่นี้เราต้องนั่งพื้นกินแบบคนเหนือนะครับ สั่งชุดกลางไป 2 ชุด (ชุดละ 400 บาท)


เมื่ออาหารมาครบทั้งสองสำรับก็โซ้ยกันสิครับ หมดอย่างรวดเร็ว ผิดวิถีคนเหนือจริงๆ พวกเรา 55+


เมื่อกินกันเสร็จ ก็กลับมาทำกิจกรรมร่วมกันต่อที่บ้าน กิจกรรมนั่นคือ.... 5555+ รูปนี้ตัดมาจากคลิป VDO ของท่านชายอัท 
(รูปไหนที่มีวันที่ขึ้นด้านล่าง คือตัดมาจาก VDO นี้หมดเลยครับ ผมไม่ได้ถ่าย >_< )


การเล่น "ไพ่อูโน่" นั่นเอง ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ส่องกันใหญ่ (เพราะมันเป็นเส้นทางไปถนนคนเดิน)  พวกนี้มันทำอะไรกัน รถตำรวจก็วิ่งผ่านไป-มา แต่เราไม่กลัว 555+ เพราะเราไม่ได้เล่นการพนันครับ กติกาคือ ใครได้แต้มน้อยที่สุด เป็นคนสับ และถ้ายังไม่มีใครไม่ชนะเลย เราจะไม่เลิก (แต่ก็เล่นเอาเกือบไม่ได้เลิก กว่าท่านชายอัทจะชนะได้ 555+)


หลังเลิกเล่นอูโน ก็แยกย้ายกันอาบน้ำ สมาชิกที่เหลือก็ยกสำรับเครื่องดื่มพร้อมกับแกล้มขึ้นมาหน้าทีวี เปิดซีรีย์เกาหลีดูกันไป 


ดูจบก็แยกย้ายกันเข้านอน วันนี้ดูเพลียๆ กัน เพราะพวกเราโดนกันมาเยอะ 555+

**** จบวันที่ 3 (วันจันทร์) ****

------------------------------------------------------------------------------------------------
วันที่ 4 (วันอังคาร)


และแล้วก็มาถึงวันสุดท้ายกันแล้วนะครับ... เมื่อคืนนอนเร็ว เลยตื่นเช้าหน่อย (ทันหมอก) วันนี้ตามแผนเราจะออกไปน้ำพุร้อนท่าปายกันตอน 09:00 น. ดังนั้นตอนนี้ 07:00 น. มีเวลาเหลือเฟือ ออกไปถ่ายรูปเมืองปายยามเช้ากันดีกว่าครับ เดินเข้าเส้นถนนคนเดิมเช่นเดิมครับ ตอนเช้ากับตอนค่ำต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ให้อีกอารมณ์นึงเลย


มาถึงแยกถนนรังสิยานนท์ ตรงธนาคารออมสิน ตอนกลางคืนสี่แยกนี้คนจะเยอะเป็นพิเศษครับ เพราะเป็นจุดที่ถนนคนเดิน 2 สายมาตัดกัน ยามเช้าก็ชิลล์ครับ มีรถเข็นมาขายของ นักเรียนกำลังเดินซื้อของเตรียมไปโรงเรียนกัน


ถัดมาจะเป็นคิวรถตู้ครับ สามารถเดินทางด้วยรถตู้ "เชียงใหม่-ปาย" หรือ "ปาย-แม่ฮ่องสอน" ได้นะครับ มีรอบค่อนข้างเยอะเลย


จากนั้นก็เดินตรงไปอีกหน่อยจะมาถึงตำแหน่งนี้ครับ 


ด้านซ้ายมือเป็น "วัดกลาง" มีเจดีย์ทองตัดกับหมอกยามเช้า สวยดีครับ


ด้านขวามือเป็น "ศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน สาขาปาย" เป็นอาคารทรงเหนือ ดูสวยงาม Classic ดีครับ 
(ด้านหน้ามีร้านโจ๊กแสนอร่อย ที่ชาวคณะชอบมากินกัน ขายอยู่ด้วย)


เดินต่อไปจนสุดถนน ไปยัง "สะพานข้ามแม่น้ำปาย" ที่เคยมาตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ ขณะมาถึง พระกำลังเดินกลับจากบิณฑบาตรข้ามสะพานพอดี ตัดกับหมอกสลั่วๆ เป็นภาพที่สวยงาม ลุ่มลึกดีครับ 


พอเราเดินข้ามฝั่งมา ลองถ่ายภาพสะพานย้อนไปทางเหนือน้ำ (Upstream) ดู ก็สวยดีครับ


เดินเลยมาไกลอีกซักหน่อยแล้วลองถ่ายไปใหม่ ก็ได้บรรยากาศกว้างๆ ดีครับ 


เดินเลยมาถึงท่าน้ำของ "บ้านปายริเวอร์ไซด์" ลงไปถ่ายมุมติดกับแม่น้ำบ้าง >_<


หันกลับมาถ่ายอีกฝั่งบ้าง มีกังหันน้ำด้วยครับ เป็นภาพที่ดู Classic ดี


ลองเอาคนเข้าไปอยู่ในภาพบ้าง คนแรก "น้องเอ็ม" ช่างภาพของเรา โอเคเลยครับ แลดูมีอะไรดี 555+


ท็อปบ้าง ท่าแบบ "เหงาๆ alone" ดูเท่ห์มาก เหมาะจะให้มาเป็นนายแบบประจำ Blog เราจริงๆ 555+


เอ็ม ถ่ายให้พี่บ้าง อยากมีรูปเท่ห์ๆ บ้าง แต่ทำไมออกมามันไม่ค่อยเท่ห์เลยอะ 555+


เวลาตอนนี้ก็จะ 08:00 น. แล้ว ได้เวลาเดินกลับกันดีกว่า ข้าวเช้าเราก็ยังไม่กินเลย 555+ ก่อนกลับ บนสะพานขอท้ายน้ำ (Downstream) ซักภาพ


สวยดีหว่ะ ชอบ งั้นขอ Upstream อีก 1 ภาพ 
(จริงๆ กทม.เองช่วงนี้ก็มีภาพเป็นนี้ แต่ไม่กล้าสูดหล่ะครับ ฝุ่นทั้งนั้น หาใช่หมอกไม่ 555+)


จากนั้นเรา 3 คน ก็เดินกลับมาเรื่อยๆ จนมาถึงคิวรถตู้ จะมีร้านหมูปิ้งอยู่ ตัดสินใจเอาอันนี้แหล่ะเนอะ "หมูปิ้งใหม่ๆ กับข้าวเหนียวร้อนๆ" อากาศเย็นๆ แบบนี้ คงฟิลล์น่าดู


ป้าเห็นว่าจะซื้อหลายไม้ เลยเอามาปิ้งให้ใหม่ ยืนเฝ้าหน้าร้านกันเลยทีเดียว ไม่ได้กดดันนะป้า แต่ขอเร็วๆ หน่อย หิวแล้ว 555+


ไม่นานหมูก็สุก หยิบกินกันตรงนั้นเลยครับ ของผมถุงไม่ต้อง 555+


กินแบบนี้ก็ "อร่อยดี" ครับ มันอร่อยจริงหรือพวกผมหิวไม่รู้ 555+


จากนั้นเราก็เดินกลับมาถึงบ้านพัก ในเวลาเกือบ 08:30 น. สมาชิกส่วนใหญ่เริ่มเก็บของ แต่งตัวจนจะครบหมดแล้ว เหลือพวกผม 3 คน รีบไปเก็บของจัดขึ้นรถทันที 555+ ร่ำลาพี่คนดูแลที่พักไป (พี่แกดูแลดีจริงๆ ครับ เอาใจใส่เรามากๆ ยอมรับเลย) จากนั้นก็ไปต่อที่นี้ครับ ไหนๆ ก็มาปายแล้ว ไม่ไปเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง ร้านกาแฟในตำนาน "Coffee In Love" นั้นเอง ออกจากที่พักไม่ไกลครับ ไม่ถึง 10 นาทีถึง


เมื่อมาถึงแล้ว ก็ให้น้องๆ สมาชิกไปถ่ายรูปกับมุมมหาชนต่างๆ ส่วนผมนั่นจะขอไปนั่งรอ >_< (คือ...ผมมาบ่อยมาก จนจะจำได้ทุกซอกทุกมุมแล้วครับที่นี้ 555+)


หามุมสวยมุมหล่อกันเอาเองเลยนะ ทุ๊กคนนน




หลังจาก Coffee In Love สถานที่ถัดไปคือ "น้ำพุร้อนท่าปาย" ขับรถประมาณ 15 นาทีก็ถึงครับ (เส้นทางจะคุ้นๆ หน่อยเพราะเคยผ่านมาวันแรกแล้ว 555+)


มาถึงจะเสียค่าเข้าพื้นที่อุทยานฯ ห้วยน้ำดัง คนละ 50 บาท รถคันละ 30 บาทครับ ต้องเก็บใบเสร็จไว้ดีๆ ครับ เดี๋ยวเราจะได้ใช้เข้าสถานที่ท่องเที่ยวอีก 3 แห่ง (ทุกแห่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง) เมื่อเข้ามาถึงข้างในจอดรถเสร็จ แต่ละคนก็เดินตรงไปยังบ่อน้ำพุร้อน ระยะทางเกือบ 500 ม. แบบชิลล์เลยครับ ฟิตกันจริงๆ วันนี้ 555+


ที่เห็นกลุ่มควันขาวๆ นี้ไม่ใช่หมอกหรือควันนะครับ เป็นไอน้ำจากบ่อน้ำพุครับ ไม่หนาว อุ่นๆ ครับ


และแล้วคุณชายก็พาตัวเองมาถึงครับ


ดูท่าทางท่านจะตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ (ผมขอสมัครเรียน Acting กับท่านได้ไหมเนี่ยะ รัชดาลัยฯ ทุกภาพจริงๆ  555+) 


น้องเอิญคนสวยก็มาถึงเป็นคนสุดท้ายครับ ("ปวดขา" เพราะวิ่งทุกเช้า สภาพเลยเป็นแบบนี้ไง 555+)


เดินย้อนกลับมาหน่อย จะมีสระและลำธารให้อาบน้ำแร่ แช่น้ำร้อนครับ พี่อัทเราลงไปเจิมเป็นคนแรก 


จากนั้นเต๋าและเอ็มก็ลงไปนั่งเป็นเพื่อน กลัวพี่เขาเหงา 555+


ออกจากพุน้ำร้อนท่าปาย เราก็ยิงยาวไปตัว "อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง" กันเลยครับ ระยะทางเกือบ 30 กม. ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีครับ ตามแผนที่เลยครับ


เรามาถึงที่ทำการอุทยานฯ กันประมาณ 11:30 น. นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เมื่อคืนนอนบนนี้เริ่มทยอยลงแล้วครับ ดังนั้นการขับรถสวนช้าวบ้านในเส้นถนนอุทยานฯ ต้องขับอย่างระมัดระวัง เพราะถนนแคบมาก ผมเกือบไปจิ่มรถคันที่สวนมาตรงหัวโค้งก่อนขึ้นเขาแล้วครับ เบรกกันหัวทิ่มทีเดียว 555+


ถ้าเรานอนเต็นท์ที่นี้กันเมื่อคืน ก็คงได้ไข้ขึ้นกัน เพราะได้ข่าวจากเจ้าหน้าที่ว่าเมื่อคืนหนาวมาก ไม่ถึง 10 องศา อีกทั้งลมแรงมาก รอดไปนะพวกเรา 555+ แต่จริงๆ ก็อยากให้มากัน มันสวยและบรรยากาศดีมากจริง ในช่วงเช้า ตอนพระอาทิตย์ขึ้น ไว้โอกาสหน้าเนาะ >_<


เด็กๆ ไม่ยอมลงมาด้วย คุณแม่เลยขอฉายเดี่ยวเลย ไหนๆ ก็ได้มาแล้วเนาะ 55+


มุมมหาชน นานๆ ที จะไม่มีคน 555+


รอซักพักแล้ว เด็กๆ ไม่มีใครลงมากันจริงๆ ด้วย งั้นเรา 2 คน กลับขึ้นไปก็ได้ 555+


ดูน้องๆ นั่งรอกันสิ น่าสงสารสงสัยคงหิวข้าว ป๊ะๆ งั้นไปหาอะไรกินกัน ที่ห้องอาหารของอุทยานฯ แล้วกัน 555+ ซึ่งอาหารเขาก็อร่อยใช้ได้อยู่นะครับ ++


ออกจากที่ทำการอุทยานฯ ห้วยน้ำดัง เราก็ไปแช่ออนเซ็นที่ "โป่งเดือดป่าแป๋" กันต่อครับ ขับรถประมาณ 1 ชม. ครับตามแผนที่เลยครับ


เข้ามาถึงด่านตรวจบัตร เราก็แจ้งว่าจ่ายมาแล้วตั้งแต่ พุน้ำร้อนท่าปาย หรือ ตัวอุทยานฯ ห้วยน้ำดังเลยก็ได้ครับ ยื่นหลักฐานใบเสร็จให้เขาดูหน่อย (ถ้าขอดู) จากนั้นก็ขับเข้ามาข้างในซักหน่อย ตามป้ายสระอาบน้ำร้อน ข้างในมีที่จอดรถได้เกือบ 20 คันครับ บรรยากาศรอบๆ ชุ่มชื่น ร่มเย็นดีครับ 


ตัวสระน้ำร้อน ที่เราจะลงเป็นแบบนี้นะครับ สระกลางแจ้งเลย 555+ ตอนนี้เป็นเวลา 14:00 น. อากาศยังเย็นสบายอยู่เลย นอนแช่น้ำอุ่นๆ แค่คิดก็ฟิลล์แล้วครับ 


เล็งไว้เราจะไปสระตรงนู้น ไม่มีคน มันจะเป็นของเรา 555+


เราต้องไปติดต่อเสียค่าธรรมเนียมลงสระก่อนครับ 20 บาท ถูกมากๆ แล้วก็เข้าห้องน้ำปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยด้วย


แต่... สมาชิกส่วนใหญ่ไม่ลงกันครับ (อ้าวว !!) มีแค่ ผม พี่อัท เอ็ม และเต๋าที่จะลง ส่วนที่เหลือมาแช่เช้าที่ตรงนี้แทนครับ 555+


ไม่เป็นไร 4 คนก็เปรี้ยวได้ >_<  ตอนแรกคิดว่าจะชิลล์ พอได้เอาตัวไปลงน้ำเท่านั้นแหล่ะ แทบสุกเลยครับ น้ำร้อนมาก 555+ ปรับตัวอยู่สักครู่ถึงลงทั้งตัวได้ อ้อ เขามีข้อแนะนำด้วยนะ คือห้ามแช่นานเกิด 15 นาทีต่อครั้ง (ไม่บอกก็อยู่ไม่ถึงหรอกครับร้อนขนาดนี้ 555+) ซักพักใหญ่ๆ ก็มีครอบครัวใหญ่มายังสระที่เราอยู่ งั้นเราก็ขึ้นกันดีกว่า จะได้ไปที่อื่นต่อ


หลังจากอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็ออกเดินทางไปสถานที่ถัดไป โดยรถอีกคันได้ล่วงหน้าเราไปก่อนแล้ว ให้ไปนอนรอที่ร้านกาแฟ "32 Coffee Hill" ได้เลย ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีครับ ตามแผนที่


เราก็มาถึงร้าน "32 Coffee Hill" ในเวลา 15:00 น. อยู่ช่วง กม. 32 ของทางหลวง 1095 ครับ มองด้านซ้ายจะเจอป้ายเช็คอินตามทาง พอเจอแล้วไม่ไกลก็จะถึงที่จอดรถของร้านครับ


พอเดินเข้ามาถึงร้าน เห็นสภาพสมาชิกแต่ละคนที่มากับคันเฉียน เหนื่อยล้า หมดแรงกันเลยทีเดียว 555+


ก็สั่งกาแฟกินตามพิธี 555+ กาแฟเขาก็เข้มข้นใช้ได้อยู่ครับ


ก่อนกลับก็ชักภาพกันเสียหน่อย ที่ระทึกครับ 555+

ผมชอบบรรยากาศโดยรวมที่นี้มากครับ ยื่งห้องน้ำนี่เป็นอะไรที่ฟิลล์มาก อยากแนะนำครับ ผมได้ทำ Blog แยกไว้ต่างหากเช่นเคยครับ >>สนใจคลิก<<

จากนั้นเราก็ดูเวลา ตอนนี้ 15:45 น. คิดแล้วว่าไม่น่าจะขึ้นดอนปุยกับดอยสุเทพทัน งั้นหาเป้าหมายใหม่ เฉียนเสนออีกเช่นเคยเป็น "วัดบ้านเด่น" ดูแล้วไม่ได้ออกนอกเส้นทางเท่าไหร่ จัดไปครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ตามแผนที่เลยครับ


เรามาถึงวัดประมาณ  17:00 น.ครับ ผมเพิ่งเคยมาที่นี้ครั้งแรก วัดใหญ่โต อลังการมากเลยครับ อีกทั้งคนก็ยังเยอะอยู่เลย และแสงตอนเย็นแบบนี้ก็สวยอยู่ครับ เช่นนั้นพวกเราจึงเก็บภาพรัวๆ 


เข้ามากราบพระด้านในบ้าง


มีพระอุโบสถหลายหลังมากครับ


ด้านนี้เท่าที่ดู น่าจะเป็นท้าวเวสสุวรรณ ไม่แน่ใจ เพราะผมไม่ได้เข้าไปดูใกล้ๆ  >_<


ไปยังอุโบสถถัดไปครับ สวยงามวิจิตรมาก


ดูภาพกันไปเรื่อยๆ เลยนะครับ




ถ่ายรูปจนเต็มอิ่มแล้ว จากนั้นก็มาวางแผนกันต่อว่าจะเอายังไงกันดี ไปไหนต่อดี 555+


ตกลงกันได้ว่าไปซื้อของฝากที่ "กาดวโรรส" แล้วค่อยไปกิน "สุกี้ช้างเผื่อก" ต่อ ก็ OK ตามนั้น เราออกจากวัดบ้านเด่นตอน 17:30 น.ไปถึงตอน 19:00 น. ใช้เวลาไปชั่วโมงครึ่ง ตามเส้นทางในแผนที่เลยครับ


มาถึงแล้ว และโชคดีมากๆ มีที่จอดรถสำหรับ 2 คันพอดี รีบจอดรีบวิ่งเข้าไปซื้อของเลยครับ 555+


ของกิน ของขายเยอะดีครับ จริงๆ เราจบที่นี้ก็ได้นะเนี่ยะ แต่ได้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะกินสุกี้ช้างเผือก ใจแข็งเข้าไว้ 555+


ก็เดินดูของฝากกันไปครับ


ส่วนผมระหว่างรอนั้น ก็เดินขึ้นไปบนสะพาน "จันทร์สมอนุสรณ์" ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำปิง ไปถ่ายรูปเล่น ชมบรรยากาศดีกว่า ใจจริงคือ อยู่ใกล้ๆ รถไว้ รถจดแถวนี้กลัวโดนล็อคล้อ 555+


เมื่อได้ของฝากตามต้องการแล้ว สถานีถัดไปของเราคือ "สุกี้ช้างเผื่อก" ไม่ไกลตามแผนที่เลยครับ แต่หาที่จอดรถยากมาก ต้องขับรถวนไปส่งสมาชิกก่อน แล้วค่อยวกกลับมาจอดฝั่งตรงข้าม


หน้าร้านจะเป็นแบบนี้ครับ หาง่าย "ป้ายใหญ่" 555+


ระหว่างยังไม่มีที่นั่ง ก็ยืนสั่งรอ ใครเอาอะไรจดๆ


จะกินอย่างอื่นด้วยก็ได้ เดินไปสั่งได้หมดในละแวกนั้น เดี๋ยวเขาเอามาส่งที่โต๊ะเราเองครับ ผมก็จัดของหวานไป 1 ถ้วย 555+


"อาหาร" มาแล้ว ก็แร้งลงตามระเบียบครับ ไม่เกิน 10 นาทีหมดทุกอย่าง 555+


กินเสร็จ ตอนนี้ก็ 20:15 น. มีเวลาอีก 45 นาทีก่อนเอารถไปคืนที่สนามบิน อันดับแรกจากนี้ต้องไปเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อน แล้วก็จัดข้าวของกันที่ปั้มนั้นเลย เลือกเอาปั้มที่มีที่จอดรถเยอะผู้คนไม่พลุกพล่าน ปั้มตรงนี้แล้วกัน ตามแผนที่เลยครับ


มาถึงปั้มแล้วก็ทำการเติมน้ำมัน เก็บของ ชั่งกระเป๋า (ใช้ตราชั่งหน้า 7-11) จัดกระเป๋าให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ (ไม่เกิน 7 กก.) เดี๋ยวได้โหลด 555+ เรียบร้อยหมดแล้วก็ขับรถไปคืนที่สนามบินเชียงใหม่ ตามเส้นทางในแผนที่


เรามาถึงสนามบินก่อน 3 ทุ่มไม่นาน ทำเรื่องคืนรถเสร็จก็ต้องมานั่งรอเช็คอิน เรากลับสายการบิน เวียตเจ็ตแอร์ เที่ยวบิน VZ115 (เครื่องออก 5 ทุ่มครึ่ง นู้นนน 555+) หาที่นั่งรอกันไป ประมาณ 21:45 น. ก็เดินไปเช็คอินกัน สายการบินนี้ให้ช่างน้ำหนักกระเป๋าที่เคาน์เตอร์ทุกคน (ดีนะ เตรียมตัวกันมาแล้ว 555+)


จากนั้นก็หอบสังขารไปหาที่นั่งรอเรียกขึ้นเครื่อง ระหว่างรอก็สลบไสลกันไป 555+


เวลาประมาณ 23:15 น. เจ้าหน้าที่ภาคพื้นประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่อง โอ้ววว พระเจ้า ถึงเวลาซะที 555+


กลับแล้วน้าาา "ปางอุ๋ง - ปาย - เชียงใหม่" เจอกันใหม่โอกาสหน้า 555+


เรามาถึงสนามบินสุวรรณภูมิกันประมาณเกือบตี 1 ลงไปกดบัตรเรียกแท็กซี่ข้างล่าง แยกย้ายกันกลับบ้าน 555+  
09:00 น. เจอกันที่ทำงานนะครับทุกคน มีเลี้ยงปีใหม่ของที่ทำงาน (ห้ามหายนะ 55+)

**** จบการเดินทาง (วันอังคาร) ****


สรุปค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมด


ค่าใช้จ่ายของตนเองระหว่างในทริป 800 บาท รวมกับค่าส่วนกลาง 4,700 บาท การเดินทางครั้งนี้ผมหมดไปประมาณ 5,500 บาท (ตัวเลขกลมๆ)

***************

สำหรับผม ถือว่าไม่แพงเลยครับ กับสิ่งที่เราได้ในการไปครั้งนี้ ตามแผนบ้าง หลุดแผนบ้าง นี่ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเที่ยวเองครับ ปรับอะไรได้ตามสถานการณ์เลย  >_< ผมว่าคงไม่ต้องอธิบายอะไรเยอะ ให้ภาพมันเล่าเรื่องของมันเองดีกว่า แนะนำเลยนะครับ สำหรับใครที่อยากตามรอย เป็นอีกครึ่งที่ไปหลายคนแต่รู้สึกว่าคุ้มค่ามาก หวังว่าบทความนี้ คงพอจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับ 

ติดตามกันใหม่ในบทความหน้า >>"พนมเปญ กัมพูชา"<< ครับ



หากเห็นว่า Blog นี้มีประโยชน์ รบกวนช่วยสนับสนุนผ่านช่องทางเหล่านี้ด้วยครับ
------------------------------------------------------------------------------------

จองโรงแรมที่พักกับ AGODA
------------------------------------------------------------------------------------

จองตั๋วเครื่องบินท่องเที่ยวกับสายการบินนกแอร์

------------------------------------------------------------------------------------

จองตั๋วรถทัวร์ รถไฟ เรือท่องเที่ยวกับ BusOmlineTicket


------------------------------------------------------------------------------------

ซื้อประกันการเดินทางราคาถูกกับ TQM


------------------------------------------------------------------------------------

เตรียมของก่อนออกเดินทางกับ Lazada


------------------------------------------------------------------------------------

เตรียมของก่อนออกเดินทางกับ Shopee


------------------------------------------------------------------------------------

สั่งสินค้าปลอดภาษีกับ King Power


------------------------------------------------------------------------------------

ซื้อหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวกับ SE-ED BOOK


------------------------------------------------------------------------------------

สมัครบัตรเครดิตไว้ใช้ท่องเที่ยว KTC



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น